ผมเชื่อเหลือเกินว่าถ้าคุณตั้งใจกดเข้ามาอ่านบทความนี้ แสดงว่าคุณคงต้องรู้จักสถานที่แห่งนี้อยู่พอสมควร ภาพสวยๆของดอยสูงที่ปูด้วยทุ่งหญ้าสีทองคงติดอยู่ในซอกใดซอกหนึ่งของความทรงจำท่านๆอยู่เป็นแน่ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับท่านที่หลงเข้ามาอย่างไม่ตั้งใจ หรือท่านที่หวังจะได้รับข้อมูลการท่องเที่ยว ขอบอกไว้ก่อนว่าบทความนี้คงไม่มีรายละเอียดใดๆให้แก่ท่านมากมายนัก เนื่องด้วยผมตั้งใจจะถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อสถานที่และผู้คนที่ได้พบเจอระหว่างทางในการมุ่งไปสู่ยอดเขาแห่งนี้เพียงเท่านั้น..... หากท่านๆพร้อมแล้ว ตามผมขึ้นดอยม่อนจองกันครับ เย็นวันหนึ่งผมได้รับข้อความเชื้อเชิญร่วมทริปไปดอยม่อนจอง จากเพื่อนที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่อยู่ เป็นทริปการสำรวจเล็กๆอย่างไม่เป็นทางการที่ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมด้วย ...ทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจว่าจะช่วยอะไรได้ไหม แต่ผมก็ตอบตกลงไปในแทบจะทันที ด้วยเหตุผลว่าทริปนี้ผมไม่จำเป็นต้องนำเงินติดตัวไปแม้แต่บาทเดียว มันเข้าทางการเที่ยว สไตล์ ปรสิต ของผมจนยากจะปฏิเสธคำเชิญนี้ได้ลง รุ่งเช้าผมตื่นมาพบว่า เหลือเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนเวลานัดหมาย ผมรีบยัดเสื้อกันหนาวและผ้าห่มผืนใหญ่เข้าไปในกระเป๋าใบยักษ์ของผมอย่างไร้การจัดแจงหรือวางแผนมาก่อน และด้วยไม่รู้ข้อมูลใดๆของจุดหมายปลายทางเลยแม้แต่น้อยเรียกได้ว่าไม่สนใจจะค้นหาด้วยซ้ำ ผมจึงไม่ได้คาดหมายว่าทริปนี้จะประทับใจอะไรมากมาย แค่เพียงได้ไปผมเจอผู้คนใหม่ๆก็จะน่าพอใจมากแล้ว สำหรับทริปปรสิตครั้งนี้ เราเริ่มออกเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ช่วงสายๆก่อนมุ่งหน้าสู่อำเภออมก๋อย เพราะผมยังไม่รู้จักพี่ๆในทีมจึงต้องพูดคุยถามไถ่กันอยู่สักพักใหญ่ แต่หลังจากสอบถามกันได้ไม่นาน เราก็สาดมุขใส่กันไปมาอย่างสนุกสนานราวกับสนิทสนมกันมานานนม เวลา 2 ชั่วโมงแรกเลยผ่านไปอย่างไม่อยากเย็นนัก “ใกล้จะถึงยัง” ผมเอ่ยปากถามเพื่อนตัวเล็กของผม ที่เป็นคนขับรถในวันนี้ “โห…อีกน๊าน ยังไม่ถึงครึ่งทางเลยมั้ง” เพื่อนตัวเล็กของผมตอบกลับมา ทำเอาผมถอนหายใจด้วยเบื่อการนั่งรถไกลๆแบบสุดหัวใจเป็นทุนเดิม ผมเผลอหลับไปสักพัก ก่อนจะตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเปิดประตูรถ รถจอดนิ่งสนิทอยู่หน้า 7-11 ผมลงไปหันซ้ายหันขวา สำรวจสถานที่ ได้ความว่าเรามาจอดอยู่หน้าโรงพยาบาลอมก๋อยในใจก็พรางดีใจไปด้วยเพราะเดาเอาว่าคงใกล้มากๆแล้ว แต่ก็นั่นแหละครับ การคิดไปเองทำให้เราผิดหวังอยู่เป็นประจำ เพราะกว่าจะถึงที่หมายจริงๆ ก็ต้องนั่งรถต่อไปอีกกว่า 2 ชั่วโมงเห็นจะได้ “ถึงแล้ว...ลงๆ” เพื่อนตัวเล็กของผมแจ้งเตือนว่าถึงที่หมายของวันนี้แล้ว ผมรีบลงจากรถ หยิบกระเป๋าลงไปวางบนพื้นหญ้าชื้นๆ อากาศตอนนี้เย็นมากทั้งๆที่ยังไม่ถึงบ่ายสี่โมงเย็นด้วยซ้ำ ทำเอาผมต้องรีบเปิดกระเป๋าควานหาเสื้อมากันความหนาวให้ร่างผอมบางของผมอย่างเร่งด่วน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เปิดกระเป๋า เพื่อนตัวเล็กของผมก็เรียกให้ไปทักทายเจ้าหน้าที่คนนั้นคนนี้ที่เดินมาต้อนรับเรา ...รอยยิ้ม และคำทักทายอย่างเป็นกันเอง ทำให้ผมต้องยืนหนาวไปอีกพักใหญ่กันเลยทีเดียว :( .... พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าคืนนี้ เราจะนอนกันที่นี่ ก่อนจะออกเดินทางช่วงเช้าๆ "เดินไม่นาน แป๊บๆก็ถึง" พี่เจ้าหน้าที่มองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มที่เด็กอนุบาลก็ยังรู้ว่ากำลังโกหกอยู่ ผมรีบขนของเข้าไปเก็บไว้ในที่พัก ก่อนจะเดินสำรวจรอบๆ อากาศเย็นสบายช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการนั่งรถยาวนาน 4 ชั่วโมงได้ดีทีเดียว แต่ก่อนจะทันได้นั่งพักเอนหลัง ผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังเข้ามาใกล้ๆ พอหันไปก็พบเด็กน้อยสองคนกำลังวิ่งไล่จับกันอยู่ ความน่ารักของทั้งคู่ทำผมยิ้มได้อย่างง่ายดาย ในใจก็คิดอยากจะมีครอบครัวกับเขาบ้าง (ใช่ครับ ผมโสด และเริ่มแก่แล้ว จึงกำลังขายของอยู่ 555) ...ไม่รอช้าผมเข้าไปหาเด็กน้อยสองคน และเพียงช็อกโกแลต 2-3 ชิ้น เราก็เริ่มสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ถึงรูปที่ได้มาเด็กๆจะทำหน้าไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ก็เหอะ กลิ่นหอมและควันไฟ โชยออกมาจากในครัว พี่ๆเรียกให้ผมให้ไปช่วยเตรียมอาหาร คืนนี้เราจะมีปาร์ตี้เล็กๆกัน กลิ่นกองไฟใหญ่ผนวกกับอากาศหนาวเหน็บทำเอาคิดถึงใครบางคนอยู่ไม่น้อย พระอาทิตย์เริ่มลอยลงลับแนวเขา เรานั่งล้อมวงเตรียมรับประทานอาหาร พี่ที่นั่งข้างๆผม สะกิดและกระซิบถามผมขึ้นมาว่า "เคยเห็นดาวลอยไหม" "ดาวอะไรครับ" ผมทำคิ้วขมวด ถามกลับไปอย่างสงสัย "โถ่วว... เอาน่าเดี๋ยวคืนนี้รู้เอง" จบตอนก่อนนะครับ ดูจะยาวเกินไปแล้ว ตอนหน้ามาดูดาวลอยและยอดดอยไปพร้อมกัน (ขอบคุณที่ทนอ่าน รัก - ปรสิต ทราเวลเลอร์)