เรื่องเหนือจริงที่แต่งโดยใช้สถานที่ เหตุการณ์ หรือบุคคลซึ่งผู้ประพันธ์ได้สมมุติขึ้นมาเอง มีองค์ประกอบเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติหรือเรื่องในอนาคต เรื่องจำพวกแฟนตาซี เรื่องแต่งในแนวซูเปอร์ฮีโร แนววิทยาศาสตร์แฟนตาซี-สยองขวัญ หรือเรื่องที่มีส่วนผสมต่าง ๆ ของแนวเหล่านี้ ซึ่งในวงวรรณกรรมเรียกกันว่า จินตนิยาย (Speculative Fiction) นั้น มีจำนวนผลงานอยู่ไม่มากนักที่จะได้รับรางวัลในระดับใหญ่ ๆ ยกเว้นเสียแต่ว่าวรรณกรรมเรื่องนั้น ๆ จะถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มของวรรณกรรมเยาวชนหรือวรรณกรรมสำหรับเด็ก ซึ่งอาจส่งผลทำให้วรรณกรรมเรื่องนั้น ๆ กลายเป็นวรรณกรรมในแนวเฉพาะกลุ่มไปในทันทีทว่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้กลับเป็นข้อยกเว้นสำหรับงานเขียนของประพันธกรเลื่องชื่อในนามปากกา แก้วเก้า ทั้งนี้ก็เพราะว่ามีงานเขียนแนวเหนือจริงจากการรังสรรค์ภายใต้นามปากกาดังกล่าวอยู่หลายผลงานเลยทีเดียวที่ยังเป็นวรรณกรรมซึ่งเด็กอ่านได้ ผู้ใหญ่ก็อ่านดี อีกทั้งยังได้รับรางวัลยกย่องมากมาย อาทิ วัฏจักร ผ้าทอง นิรมิต จากฝันสู่นิรันดร ช่อมะลิลา เป็นต้นศาสตราจารย์ คุณหญิง ดร.วินิตา (วินิจฉัยกุล) ดิถียนต์ เจ้าของนามปากกา ว.วินิจฉัยกุล และ แก้วเก้า เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสารฉบับหนึ่งเมื่อเกือบสามสิบปีที่แล้วว่า “ 2 นามปากกานี่เขียนคู่กันมาตลอด ว.วินิจฉัยกุล นี่เขียนเอากล่อง (รางวัล) แก้วเก้า เขียนเอาแฟน (นักอ่าน) ...เป็นการเขียนอะไรตามใจตัวเองที่ไม่ต้องห่วงกฎเกณฑ์ ทฤษฏี ความถูกต้อง เหมาะสม เขียนตามใจ” ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้กลับเกินความคาดหมาย เพราะนอกจากว่าเธอจะได้เขียนผลงานตามใจตัวเองแล้ว งานเขียนในนามปากกา แก้วเก้า ก็ยังเป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มนักอ่านผู้ติดตามผลงาน ตลอดจนได้รับรางวัลการันตีจากหน่วยงานในระดับชาติอีกด้วยนิรมิต ของ แก้วเก้า เป็นนวนิยายแนวจินตนิยายที่ได้รับรางวัลดีเด่น ประเภทนวนิยาย จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2539 หลังจากที่นวนิยายในแนวเดียวกันก่อนหน้านี้เรื่อง ผ้าทอง ได้รับรางวัลชมเชย จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2536 อีกทั้งยังได้เข้ารอบสุดท้ายรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี พ.ศ. 2537 มาแล้ว “ความเชื่อของเราแตกต่างกันไป แต่ถ้าให้ผมพูดถึงความเชื่อของผม ผมก็ขอบอกว่ามันเป็นพรสวรรค์ประเภทหนึ่งซึ่งพระเจ้าประทานมาให้คุณ คล้าย ๆ กับพระองค์ประทานดนตรีมาให้เบโธเฟนหรือโมสาร์ท จิตรกรรมให้แวนโก๊ะ หรือคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ให้ไอน์สไตน์ แต่ไม่ได้หมายความว่าชีวิตคุณจะประบความสุขหรือผลสำเร็จมากกว่าคนทั่วไป มันขึ้นอยู่กับตัวคุณด้วย ว่าคุณจะเอามันไปทำอะไร ... ให้สร้างสรรค์หรือว่าทำลาย!” (จาก นิรมิต ของ แก้วเก้า)นิรมิต เป็นจินตนิยายที่จะพาผู้อ่านย้อนกลับไปใน พ.ศ. 2520 ช่วงที่ทฤษฎีโดมิโนกำลังเป็นที่กล่าวกันอย่างหนาหูหลังจากที่สงครามเวียดนามสิ้นสุดลง กอปรกับการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสที่กำลังคืบคลานรุกรานเข้ามาทุกเมื่อ ณ ดินแดนสมมติอันมีชื่อว่า แคว้นสาระ ดินแดนที่ เจ้าเครือรัฐ ได้บอกกับ เจ้าภูวง น้องชายวัยสิบขวบผู้มีจินตนาการอันกว้างไกลว่า — “ชาวเมืองสาระเชื่อเรื่องมนตร์ดำมากกว่าเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ถ้าพวกเขาตั้งหน้าตั้งตาจะโยงเรื่องนี้เข้าเป็นอำนาจของสางพญา เรื่องนี้ก็คงไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะเพิ่มความงมงายกันถึงขีดสุด” (จาก นิรมิต ของ แก้วเก้า)‘เรื่องนี้’ ของเจ้าเครือรัฐ ก็คือความสามารถพิเศษของ เจ้าภูวง ผู้ซึ่งสามารถ ‘นิรมิต’ สิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาได้จากภาพที่เขาวาด ไม่ว่าจะเป็น ขนมฝรั่งเศส กล่องไม้ ยางลบ หนังสือ เครื่องดนตรี หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิต! ในความนิ่งไม่ไหวติง พลังปราศจากตัวตนบางอย่างดูหมุนวนอย่างประหลาด ไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่สัมผัสนอกเหนือจากสัมผัสทั้งห้าบอกเจ้าเครือรัฐว่า ... เบื้องหน้าเขา มีพายุซึ่งมองไม่เห็น แตะต้องไม่ได้กำลังแสดงพลังของมันอย่างเข้มข้น... “ภูวง สิ่งที่น้องทำได้ พี่คิดว่าเป็นพรวิเศษจากสวรรค์ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียว ถ้าหากว่าเจ้าพ่อรู้เข้า ท่านจะต้องตื่นเต้นยินดีมาก” (จาก นิรมิต ของ แก้วเก้า)เจ้าภูวง ต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อ เจ้าเครือรัฐ ผู้เป็นพี่ชายประสบอุบัติเหตุและล้มป่วยด้วยไข้ป่าจนถึงแก่ชีวิต ตำแหน่งและภาระหน้าที่ของ “เจ้าหอหน้า” แห่งแคว้นสาระ ซึ่งเขาเองไม่คิดไม่ฝันและไม่เคยปรารถนาจะได้มาครอบครองก็ร่วงโครมลงมาหล่นทับ แลกกับหยาดน้ำตาแห่งความอาลัยถึงแม้เวลาจะล่วงผ่านไปจนเจ้าภูวงเติบโตเป็นหนุ่มในอายุสิบแปดปี แต่ภาพของเจ้าเครือรัฐก็ยังไม่เคยถูกลบเลือนไปจากความทรงจำของเจ้าหอหลวงและชาวสาระ ทว่าดูเหมือนจะชัดเจนขึ้นทุกครั้งเมื่อภาพนั้นถูกนำมาเปรียบเทียบกับภาพของเจ้าหอหน้าคนใหม่อย่าง เจ้าภูวง ท่ามกลางปัญหาทางการเมืองการปกครองทั้งจากภายในของแคว้นสาระเองและจากสถานการณ์ทางการเมืองโดยรอบ จึงทำให้เจ้าภูวงตัดสินใจ ‘นิรมิต’ ภังคี ซึ่งเป็นอีก ‘ภาค’ หนึ่งของตัวเขาขึ้นมา เพื่อเป็นตัวแทนทำในสิ่งที่เขา ‘เป็น’ ไม่ได้แต่เรื่องราวกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิดฝันทั้งหมด เมื่อ ภังคี ร่างนิรมิตที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันกับเขาทุกประการได้ร่วมมือกับ เจ้าแสงหล้า คู่หมั้นของเจ้าภูวงเอง จับเอาเจ้าภูวงไปกักขังไว้แล้วออกหน้าเป็นเจ้าภูวงเสียเอง เจ้าภูวงตัวจริงจึงต้องนิรมิตอีก ‘ภาค’ หนึ่งของเขาขึ้นมาในชื่อ ไทวัน เพื่อให้ไทวันช่วยเขาจัดการกับปัญหาทั้งปวงที่รายล้อมอยู่ โดยความช่วยเหลือของ ใกล้รุ่ง หญิงสาวผู้มีอำนาจพิเศษในการมองเห็นอนาคต โดยที่ภังคีเองก็ลืมนึกไปว่า — “ไทวันไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทำสิ่งร้ายแรง เขาเป็นตัวแทนของความฝันของเจ้าภูวง เขาถึงต้องอยู่ในโลกของเขาเท่านั้น ออกมาอยู่กับมนุษย์ทั่วไปไม่ได้ แล้วอย่างนี้น่ะหรือ ...เขาจะไปกำจัดภังคี” “ภูวงมีความอ่อนแอในนิสัยแค่ไหน ภังคีก็มีความแข็งกร้าวมากเท่านั้น เขาเป็นทุกอย่างที่ภูวงอยากจะเป็นแต่ไม่มีความกล้าพอจะทำ แล้วคนเรา...คุณเคยเห็นไหม คนบางคนกลัวคนอีกคนทั้งที่เราดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะต้องกลัวอะไรถึงอย่างนั้น คำตอบคือ คนหนึ่งใจอ่อนกว่าอีกคน ยอมสยบให้กันตั้งแต่แรกแล้ว” (จาก นิรมิต ของ แก้วเก้า)นอกจากจะ ‘นิรมิต’ โครงเรื่องหลักและโครงเรื่องรองตามที่ได้กล่าวมาโดยสังเขปข้างต้นแล้ว จะเห็นได้ว่า แก้วเก้า ยังได้ ‘สร้าง’ นัยยะชั้นเชิงทางสัญลักษณ์เอาไว้ในตัวละครเอกทั้ง 3 ตัว คือ ภูวง ภังคี และ ไทวัน นั่นเอง โดยให้ ภังคี เป็นตัวละครสีดำ แทนความแข็งกร้าว โกรธเกลียด ชิงชัง โหดร้าย ทารุณ ไทวัน เป็นตัวละครสีขาว แทนความดีงาม ความอ่อนโยน ความฝัน และอุดมคติ ในขณะที่ ภูวง เป็นตัวละครสีเทา แทนความเป็นปุถุชนที่ก้ำกึ่งกันระหว่างความดีและความเลวอย่างเรา ๆ นั่นเอง การแก้ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง จึงอาจต้องใช้ทั้งไม้แข็งและไม้อ่อน คือเดินอยู่บนทางสายกลางซึ่งอยู่ระหว่างทางสุดโต่งทั้งสองทางนั่นเองนิรมิต ไม่ได้เป็นจินตนิยายที่มีชั้นเชิงทางนัยยะและสัญลักษณ์ให้ผู้อ่านได้ขบคิดตีความตามระดับภูมิความรู้และประสบการณ์ของแต่ละคนเท่านั้น เพราะนอกจากความลุ่มลึกที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในนวนิยายที่มีความยาวเกือบ 800 หน้าเล่มนี้ ยังช่วยเปิดประเด็นและสะท้อนความสำคัญของจิตวิทยาสำหรับเด็กและเยาวชนผ่านมิตรภาพของสองพี่น้องอย่างเจ้าเครือรัฐและเจ้าภูวงซึ่งถูกเลี้ยงดูให้เจริญเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความคาดหวังและการเปรียบเทียบ สอดแทรกปัญหาทางการเมืองการปกครองอันเกิดจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ‘รัฐ’ ผ่านการขับเคลื่อนเพื่อการดำรงอยู่ของ ‘รัฐ’ นามสมมติอย่าง “แคว้นสาระ” สู่ "สาธารณรัฐซารัค" ตลอดจนถึงการสะกิดให้เราซึ่งเป็นผู้อ่านได้ฉุกคิดถึง ‘ความสมดุล’ ในการ ‘นิรมิต’ ชีวิตของเราเอง เป็นต้นจากวันนั้นจนถึงวันนี้กับระยะเวลาการประกาศเกียรติยศบนบรรณพิภพมายาวนานถึงสองรอบวาระสมัย ครบรอบ 24 ปีพร้อมกับการตีพิมพ์ครั้งที่ 9 ในปี พ.ศ. 2563 นี้ นิรมิต ของ แก้วเก้า ก็ยังคงเป็นจินตนิยายอันทรงคุณค่าอีกเรื่องหนึ่งที่ยังรอให้นักอ่านรุ่นใหม่ได้ลองพิสูจน์มนตราแห่งอักษรในระดับฝีมือครูชั้นแนวหน้าของวงวรรณกรรมไทยร่วมสมัย ว่าประพันธกรในระดับศิลปินแห่งชาตินั้น ท่านมีวิธีการเขียนนวนิยายแนวเหนือจริงอย่างไร ผลงานการประพันธ์ถึงได้รับรางวัลการันตีในระดับแนวหน้าของประเทศนี้ได้ ผ่าน นวนิยายรางวัลดีเด่น จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2539 เล่มนี้ “ขอให้คุณเข้าใจก่อนว่าคุณสมบัติข้อนี้มีสองขั้นตอนด้วยกัน คือ ขั้นแรก คุณต้องแน่ใจเสียก่อนว่ามันมีจริง แต่มนุษย์ก็อาจมีสัมผัสที่หกได้บางครั้ง หรือบางเรื่อง แต่ก็ไม่สม่ำเสมอ บางเวลามันก็อาจจะหายไปได้ หรือบางเวลามันก็หลอกเราให้เราหลงผิดได้ ไม่มีข้อตายตัวว่าคุณจะมีสัมผัสที่หกไปเสียทุกเรื่องทุกเหตุการณ์ ขั้นที่สองคือ มันขึ้นอยู่กับตัวคุณแล้วละว่าคุณจะเอามันไปทำอะไร เพราะมันเป็นความพิเศษที่อาจจะเป็นผลดีกับชีวิตคุณก็ได้ เป็นผลร้ายกับชีวิตคุณก็ได้ หรืออาจจะไม่บันดาลผลอะไรกับชีวิตคุณก็ได้ ... ไม่จำเป็นว่าคนที่มีสัมผัสที่หกจะมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จกว่าคนที่ไม่มี และที่น่าเศร้าใจคือ ... คนบางคนไม่สามารถปรับตัวเองให้เข้ากับสัมผัสที่หกของเขาได้ ชีวิตของเขาก็จบลงแบบโศกนาฏกรรม” (จาก นิรมิต ของ แก้วเก้า)ภาพประกอบ โดย ผู้เขียน