หลายคนคงไม่ทราบว่า มหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย คือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ ที่วัดสวนดอก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ได้เปิดการเรียนการสอนสาขาวิชาพุทธศิลปกรรม ภายใต้คณะพุทธศาสตร์ โดยเปิดสอนมานานกว่า 10 ปี มีนักศึกษาจบไปแล้วทั้งหมดรวม 8 รุ่น วันนี้ผมจะพาทุกท่านไปดูนิทรรศการศิลปะนิพนธ์ ด้านพุทธศิลป์ ซึ่งเป็นผลงานของพระนิสิตและนักศึกษาสาขาวิชาพุทธศิลปกรรม จำนวน 35 ชิ้น กำลังจัดแสดงอยู่ที่ หอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ผลงานที่จัดแสดงประกอบด้วยจิตรกรรม ประติมากรรมและสื่อผสม ถือว่าเป็นผลงานที่ได้สร้างสรรค์ด้วยปาริสุทธิจิต เพื่อนำหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาให้ปรากฏต่อสายตาสาธารณชนอย่างน่าสนใจ ในผลงานทั้งหมดนั้น ผมขอแนะนำผลงานสัก 2 ชิ้น เพื่อจุดประกายให้คนที่ชอบแนวนี้ ได้พิจารณาเผื่อสนใจไปชมในวันอื่นๆนะครับ ผลงานชิ้นแรกชื่อ “SAMSARA สังสารวัฏ...นิพพาน...กาลเวลา” สร้างสรรค์โดยพระภูฐาน สนฺตมโน(ดาวเด่น) วัดเจ็ดยอด เป็นการนำเสนอผลงานแบบ 2 ชิ้นคู่กัน ผลงานชิ้นแรกอยู่ด้านใน ท่านนำเสนอในรูปแบบของศิลปะการจัดวางและสื่อผสม installation art and Multimedia มีแสง สี เสียงและการเคลื่อนไหวประกอบ โดยท่านได้เล่าถึงแนวคิดในการสร้างสรรค์ชิ้นงานนี้ว่า ต้องการสื่อให้เห็นว่า สัตว์ทั้งหลายดำเนินชีวิตไปตามวงจรของธรรมชาติ ก็คือการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และเสื่อมสลายไปในที่สุด แล้วก็กลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีก ตราบที่จิตยังไม่หลุดพ้นจากกิเลสตัณหา โดยตัวหุ่นที่กำลังลอยอยู่ในน้ำเปรียบเหมือนพระพุทธเจ้าปางนิพพาน ที่ท่านได้ปล่อยวางละทิ้งอัตตาตัวตนเข้าถึงธรรมะเป็นอิสระสงบเย็นไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ผลงานอีกชิ้นหนึ่งอยู่ด้านนอก เป็นผลงานที่ต้องการบอกเล่าเรื่อง ทวิภาวะ เช่น เช่น มืด-สว่าง หญิง-ชาย แข็ง-อ่อน วิชชา-อวิชชา อันที่จริงแล้ว งานชิ้นที่สองนี้ ผมว่าผู้ที่ไปชมสามารถตีความและให้ความหมายด้วยตัวเองได้ในอีกหลายความหมายเลยละครับผลงานชิ้นที่สองชื่อ “อินทรีย์สังวรณ์” เป็นผลงานของนายโอฬาร เครือหงษ์ นำเสนอภาพวาดด้วยสีอะคลิลิคบนผ้าใบขนาด 190X140 เซนติเมตร โดยมีแนวคิดในการทำงานชิ้นนี้ คือ ต้องการสื่อถึงการเฝ้าระวังอายตนะภายในไม่ให้ไปรับรู้อายตนะภายนอกตามความเคยชิน ด้วยการเจริญอานาปานสติ มีสติกำหนดรู้ลมหายใจตามที่พระพุทธเจ้าสอน โดยมีภาพพระโพธิสัตว์ในจินตนาการเป็นตัวแทนผู้พยายามสลัดตนจากการถูกมอมเมาของอายตนะภายนอก นี่เป็นเพียงชิ้นงานบางส่วน ที่แสดงไว้ให้ได้ชมอีกร่วม 29 ชิ้นงาน ซึ่งมีการเล่าเรื่องผ่านชิ้นงานแตกต่างกันออกไปของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การนำเสนอเรื่องราวต่างๆของพุทธศาสนาด้วยแง่มุมทางศิลปะนั้น บางคนอาจจะมองว่า น่าจะเป็นเรื่องของฆราวาสมากกว่า พระสงฆ์ไม่เห็นจำเป็นต้องทำในรูปแบบนี้ แต่ถ้าย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ในอดีตและวิถีชีวิตดั้งเดิมแล้ว เราจะพบว่า บรรดาภาพเขียน ภาพวาด งานสถาปัตยกรรม งานช่างต่างๆ ส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับวัดและมีวัดเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้แทบทั้งนั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระในวัดแต่ละวัดนั้น มีความสำคัญสูงมากในการทำให้งานช่างศิลป์แขนงต่างๆ ยังคงอยู่และสืบต่อมาได้จนถึงปัจจุบัน พระสงฆ์ในอดีตและปัจจุบันหลายรูปมีความสามารถในเชิงช่างศิลป์หลากหลายรูปแบบ เพราะบางรูปที่มาบวชก็เป็นผู้ชำนาญในเชิงช่างนั้นๆอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดนตรี ศิลปะ วรรณกรรม ศิลปะการต่อสู้ สถาปัตยกรรม สมุนไพร และอื่นๆ แต่ที่ต้องบวชก็เพื่อตอบโจทย์ชีวิตบางอย่างของตนเอง ดังนั้น เราจะเห็นว่า วิถีของพระสงฆ์กับศิลปะเป็นเรื่องคู่กันมาโดยตลอด ผมเชื่อว่า การได้มาเยี่ยมชมงานศิลปะนิพนธ์ดังเช่นที่นี่ ซึ่งแตกต่างจากงานศิลปะนิพนธ์ของสถาบันการศึกษาแบบฆราวาสทั่วไป จะทำให้เรามองเห็นว่า งานด้านพุทธศิลป์ เป็นอีกหนึ่งงานของการเผยแผ่พุทธศาสนาในเชิงสุนทรียะโดยมีเป้าหมายอยู่ที่คนทั่วไปได้มีโอกาสเข้าถึงหลักธรรมในอีกรูปแบบหนึ่ง ในขณะเดียวกัน การทำงานศิลปะถือว่าเป็นเครื่องมือหนึ่งที่พระสงฆ์ใช้สำหรับภาวนาด้านในของตัวเอง เพื่อเข้าถึงแก่นแท้ของหลักธรรมในพุทธศาสนาพร้อมกับนำหลักธรรมนั้น มาสื่อสารส่งต่อให้คนทั่วไปเข้าถึงด้วยภาพวาดและงานเชิงช่างศิลป์แขนงต่างๆนั่นเอง นิทรรศการครั้งนี้ชมฟรี ระหว่างวันที่ 13 – 30 มีนาคม 2563 เปิดวันพุธ-วันจันทร์ ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น.(ปิดวันอังคาร) ณ หอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถนนนิมมานเหมินทร์ ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ โทรศัพท์: 053 218 280