เครดิตภาพจาก https://pixabay.com/images/id-2028088/ สวัสดีครับท่านผู้อ่านทั้งหลายวันนี้ผู้เขียนมีเรื่องดี ๆ เกี่ยวกับความงามมานำเสนอครับก่อนอื่นมีปัญหาที่อยากจะถามครับ ไม่งามเพราะขน...คนงามเพราะอะไรครับ ก. เพราะแต่ง ข. เพราะร้องเพลงเพราะ ค. เพราะหน้าตาดี ง. เพราะฐานะดี .....นั่นแน่ ไม่ต้องตอบครับให้ตอบในใจท่านก็พอ สมัยผู้เขียนเป็นเด็กมักจะพูดเล่น ๆ กับหมู่เพื่อนเสมอว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง แต่คนปากแหว่ง แต่งยังไงก็ไม่งาม..(ฮากันเข้าไป) มา...เอาจริงละครับ วันนี้ผู้เขียนจะพูดถึงเรื่องความงามครับแต่เป็นความงามในพระพุทธศาสนา มาดูกันครับ “ความงามในพระพุทธศาสนา” ความงามในพระพุทธศาสนานั้นจากที่ผู้เขียนประมวล และรวบรวมได้จะแบ่งออกเป็น2 ลักษณะ คือความงามทางโลก ได้แก่ 1. ความงามภายนอก ได้แก่ หน้าตางาม ผิวพรรณงาม ท่าทางงาม ฐานะทางสังคมดี หน้าที่การงานดีหรือพูดง่าย ๆ คือพร้อมไปด้วยความงามในเรื่องของสิ่งที่เป็นของสมมุติ เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ และความสุขทางโลกิยะ (ในทางโลก) 2. ความงามภายใน ได้แก่ นิสัยใจคอ การอบรมบ่งเพาะ กิริยามารยาท ความดีที่ปฏิบัติสั่งสมมาที่เกิดขึ้นภายในใจ และมีการแสดงออกมาทางกาย เครดิตภาพจาก https://pixabay.com/images/id-1136606/ สองประการนี้คือ ลักษณะความงามทางโลก ต่อมาที่นี้ดูความงามที่สูงขึ้นหรือเป็นความงามที่เป็นทางธรรม ในที่นี้มีอยู่สามประการ คือ 1. อาทิกลฺยาณํ (อา-ทิ-กัน-ยา-นัง) แปลว่า ความงามในเบื้องต้น คือ งามในศีล หมายความว่า ความงามในระดับนี้เป็นความงามที่ปรารถนาถึงการหลุดพ้น การสั่งสมความดี บารมี ศีลในที่นี้หมายถึงศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ศีล 311 แต่อย่างปุถุชนคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ขอให้แค่งามในระดับศีล 5 ได้แก่ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่นทั้งคน และสัตว์, ไม่ลักทรัพย์ ไม่หยิบฉวยเอาสิ่งที่เป็นของคนอื่นไปโดยเจ้าของไม่ยินยอม- อนุญาต, ไม่ประพฤติผิดในกาม ล่วงล้ำกามคุณสิ่งต้องห้าม, ไม่พูดจากโกหก หลอกลวง พูดส่อเสียด พูดใส่ร้าย นินทา เพ้อเจ้อ หาสาระไม่ได้, ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติด สุรายาเมา เหล่านี้เป็นต้น อันนี้แค่ระดับปุถุชนที่จะพยายามไต่ขึ้นไปสู่ระดับอริยชน เครดิตภาพจาก https://pixabay.com/images/id-2504065/ 2. มชฺเฌนกลฺยาณํ(มัด-เช-นะ-กัน-ยา-นัง) แปลว่า ความงามในท่ามกลาง คือ งามในสมาธิ หมายความว่า การจดจ่อ ฝักใฝ่ มุ่งเน้นในสิ่งที่เป็นสาระโดยในพระพุทธศาสนาจะแบ่งสมาธิออกเป็น 3 ระดับ คือ 1. ขณิกสมาธิ สมาธิเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น รู้จักควบคุมอารมณ์สิ่งที่มากระทบจิตใจ รู้จักวิธีการปล่อยวางอารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนา มีสติ และวางอุเบกขากับสิ่งที่มากระทบหรือพบเจอ 2. อุปจารสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่ คือ การตั้งมั่น มุ่งมั่น ยึดมั่น ในสิ่งที่เป็นความดีเป็นสารประโยชน์แก่ชีวิตตน คนรอบข้าง และสังคม 3. อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึง สมาธิระดับฌานสมาบัติปฐมฌานขึ้นไป เครดิตภาพจาก https://pixabay.com/images/id-2266042/ 3. ปริโยสานกลฺยาณํ (ปะ-ริ-โย-สา-นะ-กัน-ยา-นัง) แปลว่า ความงามในที่สุดหรือเบื้องปลาย คือ ความงามในปัญญา หมายความว่า รู้จักพิจารณาถึงสาระ แก่นแท้ของชีวิตตามหลักการใช้ปัญญาตามแนวทางของมรรค 8 ประการได้แก่สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ และผู้เขียนสรุปได้ ดังนี้ เข้าใจถูก-ใฝ่ถูกต้อง-วาจางาม-ทำแต่ถูก-เลี้ยงชีพชอบ-เพียรสร้างความดี-คิดดี-ใจตั้งทำดี = มรรค 8 เครดิตภาพจาก https://pixabay.com/images/id-2684123/ เห็นไหมครับนี้หละความงามในทางพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ความงามทางโลก (โลกิยะ) แต่เป็นความงามเพื่อเพียรสร้างความหลุดพ้น (โลกุตตระ) จงเลือกเอาครับว่า....จะเลือกงามที่ยั่งยืนหรือจะเลือกงามที่ชั่วคราว...สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ