หากจะพูดถึงธรรมชาติแห่งขุนเขาและป่าไม้ที่สำคัญ และมีชื่อเสียงในประเทศไทย คงไม่มีใครที่จะไม่รู้จัก อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “ดอยอินทนนท์” ซึ่งอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่นั่นเอง เนื่องจากเป็นภูเขาที่มียอดเขาสูงที่สุดของประเทศไทย มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มาก จึงทำให้มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจ เกิดขึ้นหลายที่ด้วยกัน นักท่องเที่ยวผู้หลงใหลในบรรยากาศของธรรมชาติ ก็จะต้องเดินทางขึ้นไปสัมผัสบรรยากาศบนนั้น เรียกว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของเมืองไทยเลยก็ว่าได้ วันนี้เราจะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวอีกหนึ่งสถานที่บนดอยอินทนนท์ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลต์สำคัญของที่นี่เลย เป็นหนึ่งในจุดหมายของคนที่เดินทางขึ้นมาบนนี้แทบจะทุกคน นั่นก็คือ “กิ่วแม่ปาน” ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ บริเวณกิโลเมตรที่ 42 ระหว่างเส้นทางสายจอมทอง - ยอดดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ โดยจะอยู่ก่อนถึงยอดดอยอินทนนท์ไม่ไกล เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ที่มีระยะทางสั้น ๆ ประมาณ 3 กิโลเมตร ลักษณะของเส้นทางจะเป็นวงรอบ เดินไปตามทางขึ้นและลงเขาเรื่อย ๆ แล้วเวียนมาบรรจบที่เดิม เป้าหมายสำคัญของนักท่องเที่ยว เมื่อมาที่กิ่วแม่ปานแห่งนี้ นอกจากการได้ศึกษาธรรมชาติตามเส้นทางเดินป่าแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นจุดชมวิวบนยอดเขา ที่มีทิวทัศน์อันสวยสดงดงาม สามารถมองเห็นทัศนียภาพได้ไกลสุดลูกหูลูกตา อีกทั้งเป็นจุดที่สามารถขึ้นมาชมทะเลหมอก และพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าได้อีกด้วย แต่ก่อนจะเดินขึ้นไปได้ เราต้องติดต่อที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวด้านล่างก่อนนะคะ เพื่อขอผู้นำทางหรือไกด์ท้องถิ่น ที่จะเป็นผู้พาเราเดินไป และคอยให้ข้อมูลความรู้แก่เรา โดยมีค่าบริการ 200 บาท ต่อไกด์ 1 คน สามารถไปรวมกันเป็นกลุ่มได้ ไม่เกินกลุ่มละประมาณ 10 คน หรือถ้าอยากเดินแบบส่วนตัว 1 คน 2 คนก็ได้เหมือนกันค่ะ เขาจะมีการจัดมาไว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยวอย่างเพียงพอตลอดทั้งวันอยู่แล้ว ถือเป็นการช่วยให้คนในท้องถิ่นมีรายได้ด้วย ดีมากเลยล่ะค่ะ เมื่อได้ไกด์นำทางแล้ว เขาก็จะพาเราเดินไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งมีจุดให้ความรู้อยู่เรื่อย ๆ ตลอดเส้นทาง โดยจะมีป้ายให้ความรู้เกี่ยวกับลักษณะธรรมชาติในบริเวณนั้น และไกด์ก็จะคอยอธิบายให้เราฟังด้วย หากสงสัยอะไรก็สามารถถามได้ตลอด จุดแรกที่เราเข้ามาเจอ ก็คือ น้ำตกลานเสด็จ เป็นน้ำตกเล็ก ๆ ของสายน้ำที่จะไหลผ่านลงไปสู่แม่น้ำปิง โดยบนเขาแห่งนี้จะมีสายน้ำไหลผ่านอยู่ตลอดทั้งปี เพราะเป็นป่าต้นน้ำที่สำคัญ ก่อเกิดเป็นสายธารหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนต่อไป ทำให้สภาพป่ามีความชุ่มชื้น อุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้และพรรณไม้นานาชนิดขึ้นอย่างหนาแน่น เขียวชอุ่ม และร่มรื่นเป็นอย่างมาก ลักษณะของเส้นทางเดิน ในช่วงแรกจะเป็นทางขึ้นเขาประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งก็จะเดินไปตามเส้นทางในป่าดิบเขาอันร่มรื่น มีแสงแดดส่องรำไร และมีบันไดให้เดินขึ้นทางที่ค่อนข้างชันเป็นบางช่วง จากนั้นจะเข้าสู่พื้นที่ทุ่งหญ้าบนเนินเขา ซึ่งจะมีจุดให้แวะชมวิวอยู่หลายจุด ส่วนนี้จะเป็นเส้นทางเดินไปตามสันเขาประมาณ 1 กิโลเมตร และก็จะเข้าสู่เขตป่าเหมือนในช่วงแรกอีกประมาณ 1 กิโลเมตร โดยจะเป็นทางเดินลงสลับกับขึ้นเขาบ้างบางช่วง แล้วก็จะกลับไปยังจุดเดิมที่เราเดินขึ้นมานั่นเอง แน่นอนว่าเส้นทางในช่วงกิโลเมตรที่สอง คือ ไฮไลต์ของการเดินทางมายังกิ่วแม่ปาน เนื่องจากมีลักษณะเป็นเนินเขาและสันเขาที่มีเพียงทุ่งหญ้ากว้าง ไม่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม เพราะด้านล่างของดินบริเวณนี้มีชั้นหินอยู่ จึงทำให้เราสามารถมองเห็นทัศนียภาพรอบข้างได้อย่างชัดเจน และกว้างไกล ที่ความสูงกว่า 2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล มันอลังการมาก ๆ เพียงแค่เดินขึ้นมาระยะทางไม่กี่กิโลเมตรเอง ก็ได้เห็นธรรมชาติที่สวยงามขนาดนี้แล้ว ในบริเวณนี้จะมีสะพานไม้ที่สร้างไว้เป็นจุดชมวิวสำหรับนักท่องเที่ยว อยู่ข้าง ๆ ขอบของสันเขาเลย เมื่อเราไปยืนอยู่ตรงจุดนั้นจะรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนฟ้า โดยเฉพาะช่วงเวลาที่มีทะเลหมอกปกคลุมทั่วบริเวณหุบเขาด้านหน้า เสมือนกับปุยเมฆลอยไปมา แต่ในยามที่ฟ้าเปิด ก็จะสามารถมองเห็นอำเภอแม่แจ่ม และภูเขาลูกเล็กลูกน้อยที่อยู่ด้านล่างได้ทั้งหมด เป็นภาพที่สวยงามเช่นกัน ถัดมาทางด้านซ้ายของจุดชมวิวดังกล่าว ก็จะเป็นเส้นทางเดินลงไปตามสันเขา ซึ่งก็สามารถชมทิวทัศน์ระหว่างทางได้เรื่อย ๆ โดยเฉพาะหากมองไปด้านหน้าขณะที่กำลังเดินอยู่ จะมองเห็นภาพของทิวเขาหลายลูกที่เรียงกันสลับซับซ้อนอยู่ไกล ๆ เป็นสีเขียวของต้นไม้ผสมกับสีฟ้าของท้องฟ้าที่ฉายลงมา ไล่เฉดสีจากเข้มแล้วอ่อนลงไปเรื่อย ๆ จนสุดสายตา มันเป็นภาพที่น่าประทับใจจนอธิบายไม่ถูก อยากจะเก็บภาพเอาไว้ทุกช่วงที่เดินไปเลยล่ะค่ะ ต่อจากนั้นเดินลงมาแป๊บเดียวก็ถึงด้านล่างแล้ว ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2 - 3 ชั่วโมง แล้วแต่การเดินและหยุดถ่ายรูปของแต่ละคน อิอิ สำหรับใครที่มีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวบนดอยอินทนนท์ ก็ไม่ควรพลาดสถานที่แห่งนี้เลยนะคะ การเดินอาจจะเหนื่อยบ้างนิดหน่อย แต่เราว่ามันคุ้มเกินคุ้ม เทียบกับบรรยากาศที่ได้สัมผัส ภาพความสวยงามที่ได้เห็น และพลังที่ได้รับจากธรรมชาติ ทำให้ลืมความเหนื่อยไปเลยด้วยซ้ำ ต่อให้ฟังคนอื่นเล่ายังไงก็ไม่สามารถรับรู้ได้เท่ากับการไปสัมผัสด้วยตัวเองนะคะ (ภาพประกอบทั้งหมดโดย : ผู้เขียน)