ผู้เขียนเคยเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ครั้งแรกกับคุณแม่และน้องชาย เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2525-2526 และหลังจากนั้นเราก็ไม่มีโอกาสได้เดินทางไปเชียงใหม่พร้อมหน้ากันอีกเลย และปกติช่วงคริสมาสต์คุณแฟนจะได้หยุดยาว เราก็เลยวางแฟนกันว่าจะไปขับรถเที่ยวเหนือไปเรื่อย ๆ เหมือนปีที่ผ่านมา ปีนี้ปักหมุดไว้ที่ดอยอ่างขางส่วนรายละเอียดแต่ละวันไปไหนอะไรยังไงแล้วแต่สี่ล้อจะพาไป แต่ในทริปเรามีการเปลี่ยนแผนนิดหน่อยเพราะเพื่อนร่วมทางเราเป็นพระเพิ่มมา 1 รูป ดังนั้น ทริปเราเลยจะพักแบบตามใจฉันเหมือนทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมาไม่ได้ มีกำหนดเวลาเรื่องการฉันภัตตาหาร และกำหนดเวลาการเข้าพักที่พัก ซึ่งในแต่ละวันกว่าจะออกเดินทางได้ก็จะประมาณ 8 โมงเช้า และต้องเข้าที่พักก่อน 4 หรือ 5 โมงเย็น เพื่อจะได้ทำกิจของสงฆ์ได้ เราออกเดินทางจากที่พักจังหวัดขอนแก่นหลังฉันเช้า และแวะพักเพลที่ร้านอาหารข้างทางแถว ๆ อำเภอวังทอง โดยเลือกร้านที่ค่อนข้างสงบและไม่มีคนพลุกพล่าน จากนั้นก็เดินทางมุ่งสู่จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากเรามาถึงค่อนข้างค่ำ อิคนขับก็หลงในเมืองเชียงใหม่ ขับไปบ่นไป สุดท้ายก็เลยเลี้ยวเข้าวัดสวนดอก ไปขออนุญาตฝากพระพักที่วัด 1 คืน ส่วนพวกเราไปเช่าหอพักรายวันติดกำแพงวัดราคา 4-500 บาท วันแรกที่เชียงใหม่ รุ่งเช้าเราไปซื้ออาหารเช้าที่กาดพยอมแล้วมาใส่บาตรถวายจังหัน แจ้งกำหนดการว่าจะไปที่ไหนบ้าง กำหนดการที่ว่านี้มีแค่ปลายทางเด้อ ส่วนระหว่างทางจะแวะไหนนั้นก็สุดแล้วแต่ ถ้าเจอที่ไหนน่าแวะ น่าจอดเราก็จะแวะ แต่คาดว่าทริปนี้คงมีแต่วัด วัด และวัด เท่านั้น จุดแรก เราแวะวัดอุโมงค์ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1839 พวกเราเดินชมอุโมงค์ของวัดที่ได้มีการบูรณะแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวก็เป็นสถานที่ที่น่านั่งสมาธิพอสมควร เข้าไปด้านในเราเจอฝรั่งเข้ามานั่งสมาธิอยู่ในอุโมงค์ ด้วยความเกรงใจเราก็เลยพากันถ่ายรูปเป็นที่ระลึกนิดหน่อย แล้วก็ออกมาเดินทักษิณาวรรตหรือเวียนขวา 3 รอบที่เจดีย์วัดอุโมงค์เพื่อเป็นพุทธบูชา เสร็จแล้วเราเดินทางขึ้นเหนือต่อไป เราไปวัดถ้ำผาปล่อง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดถ้ำเชียงดาว วัดถ้ำผาปล่องแห่งนี้เป็นสำนักสงฆ์ของหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร เราต้องเดินขึ้นบันไดทั้งหมด 510 ขั้น เดินไปด้วย ภาวนา “พุท-โธ” ไปด้วยตลอดเส้นทาง ไม่ใช่ว่ามีจิตใจใฝ่ธรรมะอะไรนะคะ คือการเดินจงกรมไปด้วย จะทำให้รู้สึกเหนื่อยน้อยลง เพราะใจมันอยู่กับการเดินมากกว่าไปกังวลว่าเมื่อไรจะถึง ระหว่างทางมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเห็นพระก็ยกมือไหว้ เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนก็เข้าไปกราบรูปเหมือนของหลวงปู่สิม แล้วพระท่านก็ไปปฏิสันถารกับพระในวัดฉันน้ำปานะแล้วก็ลากลับ หลวงพี่ที่วัดถ้ำผาปล่องได้เมตตาเลี้ยงกาแฟเรา และยังบอกแก่พวกเราว่า หากคราวหน้าจะมาปฏิบัติธรรมก็สามารถมาได้เพราะที่นี่มีพื้นที่รองรับชาวพุทธที่อยากมาปฏิบัติธรรมได้ถึง 200 คนเลยทีเดียว ที่หลับที่นอน ห้องน้ำห้องท่าสะดวกสบายนะคุณโยม พวกเรากราบลาพระท่าน และเดินทางต่อไปยังดอยอ่างขางด้วยจิตอันเย็นฉ่ำและเบิกบาน โดยหวังว่าเราจะเจอสำนักสงฆ์หรือวัดเล็ก ๆ สักแห่ง พอได้พักอาศัยสักคืน บรรยากาศวัดถ้ำผาปล่องทางไปดอยอ่างขางเราเดินทางไปดอยอ่างขางโดยเส้นทางหมายเลข 1340 เชียงดาว-อ่างขาง เส้นทางสูงชันและคดเคี้ยว นั่งไปก็เสียวไปตลอดทาง ระหว่างทางแวะพักจุดชมวิวเพื่อเข้าห้องน้ำและซื้อของฝากพวกอัลมอนด์ และผลไม้แห้ง เราไปถึงดอยอ่างขางประมาณบ่ายแก่ ๆ แอบกังวลใจนิดหน่อยว่าจะเจอวัดหรือสำนักสงฆ์บ้างหรือไม่ เพราะเคยได้ยินว่าชาวเขาส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์เป็นส่วนมาก เมื่อเราขึ้นไปถึงด่านแถว ๆ ทางแยกขึ้นดอยอ่างขาง ได้สอบถามเจ้าหน้าที่ที่มาคอยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่ได้แนะนำว่าบริเวณก่อนถึงสถานีเกษตรฯ จะมีสำนักสงฆ์เล็ก ๆ อยู่ด้านขวามือ เราสามารถไปขอพักค้างคืนได้ และเมื่อไปถึงก็พบว่าสำนักสงฆ์แห่งนี้มีชื่อว่า “สำนักสงฆ์ดอยอ่างขาง” มีหลวงพ่อบุญหนัก ถาวโร เป็นเจ้าอาวาส คืนนี้เราได้ร่วมทำวัตรเย็นและนั่งสมาธิ ร่วมกับหลวงพ่อด้วย นับว่าเป็นบุญอย่างยิ่ง จนเวลาประมาณทุ่มเศษเราก็แยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศรัย อากาศที่ดอยอ่างขางนี้หนาวจับขั้วหัวใจ แต่โชคดีมีเครื่องทำน้ำอุ่นที่พอให้เรารอดชีวิตในการอาบน้ำได้ คืนนี้นอนห่มผ้าสองผืนในห้องพักที่สำนักสงฆ์ ได้ยินว่าเราต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อเตรียมตัวติดตามพระออกไปบิณฑบาต ณ สถานีเกษตรดอยอ่างขาง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเหมือนกัน บรรยากาศสำนักสงฆ์ดอยอ่างขางวันที่สอง ตีห้ากว่า ๆ ฟ้ายังมืดสนิทอากาศหนาวน่านอนมาก ๆ แต่เราต้องกัดฟันลุกและออกไปรอพระไปบิณฑบาต ในสถานีเกษตรดอยอ่างขาง เห็นใจพระภิกษุที่ต้องเดินเท้าเปล่าฝ่าอากาศหนาวเดินไปบิณฑบาตในหมู่บ้านชาวกระเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในสถานีเกษตร ระยะทางน่าจะ 2 กิโลเมตร หรือมากกว่านั้นก็ไม่รู้ ตอนขาไปนั้นเราเดินจากสำนักสงฆ์ไปที่สถานีเกษตร ระหว่างทางจากวัดไปหมู่บ้านนั้น เราก็ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศการไปเรื่อย ๆ เผลอแผล่บเดียวพระท่านก็เดินไปไกลมากจนต้องวิ่งตามซึ่งก็ดีเหมือนกันจะได้หายหนาว จนกระทั่งใกล้ ๆ จะถึงหมู่บ้าน พระท่านก็ถอดหมวกและถุงมือ แล้วก็ค่อย ๆ เดินสำรวมไปรับอาหารจากชาวบ้านที่มานั่งรอใส่บาตรอย่างเป็นระเบียบ เมื่อพระให้พรเสร็จแล้วก็เตรียมกลับวัด ระหว่างทางกลับนั้นก็สว่างพอสมควรแล้วทำให้เราได้เห็นดอกนางพญาเสือโคร่ง และดอกบ๊วย พวกเราก็เดินลงจากหมู่บ้านมาสมทบกับพระอีกกลุ่ม และรอรถจากโยมที่เขาจะมารับพระกลับไปที่วัด บรรยากาศการบิณฑบาตรเช้าเมื่อมาถึงวัดเราก็มาช่วยคุณยายแม่ออกขาวจัดข้าวปลาอาหารมาถวายจังหัน ถวายเสร็จแล้วเราไปก็กินข้าวเช้าร่วมกับคนที่มาทำบุญในครัว อิ่มดีแล้วก็ช่วยเขาล้างถ้วยชามก่อนที่จะเข้ามาสมทบกับพระของเราเพื่อกราบลาหลวงปู่บุญหนัก ก่อนกลับในวันนั้น หลวงปู่เมตตาร่วมสนทนาธรรม ให้ข้อคิดเรากลับมาด้วย ซึ่งพวกเราคุยกันว่าในปีหน้าเราจะพาพ่อกับแม่มาทำบุญที่นี่อีก ขากลับเราแวะเข้าไปที่สถานีเกษตรอีกครั้ง รอบนี้เสียเงินค่าเข้าด้วยหล่ะ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเราอยากถ่ายรูปบางจุดที่ไม่ได้แวะในช่วงเช้า รวมทั้งไปถ่ายรูปดอกนางพญาเสือโคร่ง และดอกบ๊วยใกล้ ๆ ครั้งแรกที่เห็นเมล็ดกาแฟด้วย จากนั้นก็เดินทางกลับเข้าเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง แต่เราไม่กลับทางเก่าเด้อ เราใช้เส้นทางอ่างขาง-ฝาง-เชียงดาว (1240-107) สำหรับการกลับทางนี้พบว่ามันช่างหฤโหดสมคำร่ำลือว่า เราเปิดกระจกรถตอนขับลงเพราะเคยอ่านในรีวิวว่าจะได้รู้ว่าเบรคไหม้หรือเปล่า ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ เราก็ไม่รู้เลยว่ารถเราเบรคไหม้มั้ย จนมีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครหนุ่มน้อยน่ารัก 2 คนมาโบกให้จอด ทีแรกก็งง ๆ นึกว่ามีอุบัติเหตุ เพราะทางลงชันและโค้งหักศอก พอจอดรถ น้องเขาก็วิ่งมาบอกว่า “รถพี่เบรคไหม้” พวกเราก็ตกใจรีบลงจากรถ นอกจากรถเราก็มีอีกหลายคันนะคะ ที่เบรคไหม้จอดเรียงกันเป็นแถวเลย เรานั่งรอให้ล้อหายร้อน อาการดีขึ้นแล้วก็ค่อย ๆ คลานลงช้า ๆ จนไปถึงพื้นราบ ตอนบ่าย ๆ เราเห็นป้ายวัดอรัญญวิเวก ได้ยินว่าเป็นวัดหลวงพ่อเปลี่ยน ซึ่งปีที่เราไปนั้นหลวงพ่อท่านยังมีชีวิตอยู่ วัดอรัญวิเวกนี้เราเคยได้ยินพ่อกับแม่พูดถึงและเคยมาปฏิบัติธรรมเมื่อหลายปีก่อน เห็นว่ามีโอกาสก็มากราบท่านสักหน่อยก็ยังดี เราไปถึงวัดราว ๆ บ่ายสาม บ่ายสี่จำไม่ได้ รู้แต่ว่าตรงหน้ากุฎิหลวงพ่อนั้นใส่กุญแจคล้องเอาไว้ มีป้ายบอกว่าหลวงพ่อรับแขกประมาณ 5 โมงเย็น เรา(โยมทั้งสอง) ก็เลยถอยออกมา ส่วนพระของเรานั้นท่านเดินจงกรมรออยู่หน้ากุฏิ ปรากฎว่าประมาณ 4 โมงเศษ ๆ หลวงพ่อท่านเมตตาเปิดกุฏิให้ญาติโยมและพระเข้าไปกราบนมัสการ เผอิญเราเข้าไปเป็นคณะแรก วันนี้ท่านเมตตาคุยกับพระที่มา รวมถึงอนุญาตให้ถ่ายภาพร่วมกับท่านได้ และเนื่องจากเราเห็นว่าเวลาได้ล่วงมาค่อนข้างค่ำแล้ว ก็เลยฝากพระให้พักที่วัดแห่งนี้ ส่วนเราได้ออกไปพักรีสอร์ทใกล้ ๆ แทนวันที่สามเราตื่นแต่เช้า วันนี้ไปรับพระของเราออกมาจากวัด แวะงานดอกไม้เมืองแกน ซึ่งเป็นงานประจำปีของแม่แตง ที่เขาจะจัดช่วงปลายปี เราถ่ายรูปดอกคอสมอสนิดหน่อย ก็ออกเดินทางต่อ เรากลับเข้าเมืองเชียงใหม่ โดยป้ายแรกเราแวะวัดพระธาตุดอยสุเทพ เพื่อรำลึกความหลังครั้งมากับแม่เมื่อตอนเรายังเด็ก ๆ ขึ้นไปไหว้พระ และรอพระท่านเดินทักษิณาวรรตรอบพระธาตุฯ แล้วเราก็มาหาเดินซื้อของฝากพ่อกับแม่กัน เสร็จแล้วก็พากันไปบ่อสร้าง ดูโรงงานทำร่มกระดาษสา แอบแปลกใจนิดหน่อยว่าเมื่อครั้งเป็นเด็ก ๆ ทำไมเราถึงตื่นตาตื่นใจกับโรงงานร่มกระดาษสามาก แต่ครั้งนี้เราไม่ได้รู้สึกตื่นตาตื่นใจเหมือนครั้งนั้น แต่กลับรู้สึกอบอุ่นและนึกถึงภาพเก่า ๆ แห่งความสุขและความทรงจำเมื่อครั้งที่เดินทางมาเมื่อหลายสิบปีก่อนบ่ายแล้วเราออกจากบ่อสร้าง กำลังคิดกันว่าเราจะกลับทางไหนดี จะกลับทางลำปาง หรือจะกลับทางใหม่ และคิดว่าไหน ๆ เราก็มาเชียงใหม่แล้ว ถามพระว่าท่านเคยไปดอยอินทนนท์หรือไม่ ท่านว่าไม่เคย เราก็เลยหันหัวรถลงไปทางหางดง สิริที่น่ารักบอกทางเราไปเรื่อย ๆ แต่ไปงงหนักตอนสิริบอกว่า “โปรดใช้ช่องทางใดก็ได้เพื่อเข้าสู่ถนนหมายเลข 121” เอ๊า หญิง หญิงจะมาบอกเช่นนี้กับเราไม่ได้ จะให้ใช้ช่องซ้ายช่องขวา หรือช่องกลางหญิงควรบอกนะคะ ทะเลาะกับสิริแบบงง ๆ แต่เราก็มั่วเข้าถนน 121 แล้วไปเลี้ยวซ้ายไปถนน 108 เพื่อไปอำเภอจอมทอง แวะนมัสการพระธาตุจอมทอง อำเภอจอมทอง ได้สำเร็จ เราใช้เวลาที่พระธาตุจอมทองเพียง 10 นาที แล้วก็เดินทางต่อเพื่อหาที่พักใกล้ ๆ กับดอยอินทนนท์ ตอนแรกว่าจะกางเต้นท์นอนกันที่น้ำตกแม่กลาง แต่เจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าที่นี่ไม่ได้มีบริการที่พัก แต่เราสามารถไปขอพักที่วัดใกล้ ๆ น้ำตกได้ ที่วัดแห่งนั้นมีคนมาถือศีลกันเยอะว่ายังงั้น เราก็เลยขับรถข้ามน้ำตกเลียบถนนไป จนเห็นทางเข้าและป้าย “วัดเทพเจติยาจารย์” เราก็เลี้ยวเข้าไปขอพักค้างแรมหนึ่งคืน วันที่สี่ “วัดเทพเจติยาจารย์” ซึ่งเป็นวัดของพระพรหมมงคลญาณ หรือหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธฺโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่นักเรียนสมาธิจากสถาบันพลังจิตตานุภาพซึ่งมีสาขาทั้งในและต่างประเทศมาออกธุดงค์กันด้วย ในแต่ละปีจะมีนักเรียนสมาธิมาร่วมกิจกรรมธุดงคสมาธิหลายพันคนและในช่วงปลายปีหลวงพ่อวิริยังค์จะเป็นผู้นำธุดงค์ แม้กระทั่งปัจจุบันท่านจะมีอายุถึง 100 ปีแล้วก็ตาม เมื่อคืนเรานอนในเรือนนอนของนักเรียนสมาธิ ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักของพระสงฆ์ ตอนเช้าพระของเราได้มาร่วมทำวัตรเช้าและออกบิณฑบาตร่วมกับพระในวัด เมื่อฉันเช้าเรียบร้อยเราก็ช่วยกันล้างถ้วยชามแล้วก็กราบลาเพื่อเดินทางไปยังดอยอินทนนท์บรรยากาศวัดเทพเจติยาจารย์น้ำตกแม่กลาง เรามาถึงดอยอินทนนท์ในช่วงสายนักท่องเที่ยวยังไม่หนาตามาก เราขึ้นไปนมัสการพระมหาธาตุนภเมทนีดล-นภพลภูมิสิริ พร้อมกับทำทรรษิณาวรรตรอบองค์พระมหาธาตุเจดีย์เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระพันปีหลวง เมื่อเป็นที่อิ่มใจแล้วเราก็เดินทางกลับ และระหว่างทางนั้นเรารู้สึกว่าเราไม่ต้องเร่งรีบอะไรอีกแล้ว ที่อยากมาก็ได้มา ที่อยากเห็นก็ได้เห็น ได้กราบครูบาอาจารย์ และฟังธรรมะเป็นที่สบายใจ มองเห็นน้ำตกแม่กลางที่อยู่ริมทางระหว่างลงจากดอยอินทนนท์พวกเราก็เลยจอดรถพักผ่อน ตั้งน้ำร้อนเพื่อทำน้ำปานะถวายพระ แล้วก็นั่งเล่นกันเงียบ ๆ ที่ริมตลิ่งโดยไม่พูดคุยกันนานนับชั่วโมงเลยทีเดียว ดื่มด่ำธรรมชาติกันจนเป็นที่พอใจแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดลำปาง ตั้งใจว่าจะพักแถว ๆ ลำปางสักคืน ก่อนที่จะเดินทางกลับ ระหว่างไปจังหวัดลำปาง เราเผอิญขับรถผ่านลำพูน และคิดว่าไหน ๆ ก็ผ่านมาแล้ว เราก็แวะวัดพระธาตุหริภุญไชย ซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีระกาซึ่งก็คือพลขับของเรา วันนี้คนที่วัดไม่แน่นหนามาก พอไหว้พระเสร็จเราก็เดินทางต่อไปยังจังหวัดลำปาง สำหรับที่พักในคืนนี้เรานอนที่จังหวัดลำปาง แต่เป็นอำเภออะไร ตำบลอะไรนั้นสุดจะเดา เพราะว่าเราหลงทางงงงง …. คือ ที่หลงทางเนี่ย เพราะเราเห็นป้ายสำนักสงฆ์อยู่ข้างถนน ก็เลยคิดว่าโอเค นอนสำนักสงฆ์นอก ๆ เมืองน่าจะดี เราจะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับพระลูกวัด เผื่อมีธรรมะดี ๆ เปิดหูเปิดตาเรา ปรากฎว่าป้ายสำนักสงฆ์ที่อยู่ถนนใหญ่นั้น ไม่ทราบว่าบอกทางไปทางไหน สิริตัวดีก็แกล้งตาย เราก็ขับไปเรื่อย ๆ ฟ้าก็เริ่มมืด พระก็เริ่มกระสับกระส่าย ส่วนคุณโยมนั้นก็เริ่มจิตตก และแล้วเราก็แสนจะดีใจเห็นป้ายวัดป่าอะไรสักอย่าง คุณแฟนก็เลยเลี้ยวเข้าไปในวัด ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับตลาดแลงประจำหมู่บ้าน (ตลาดขายอาหารสด อาหารสำเร็จรูปในหมู่บ้าน) ชาวบ้านที่มาซื้อของแถบนั้นก็มองตามเพราะเห็นป้ายทะเบียนรถอันบอกถิ่นที่มาของเรา จอดรถเรียบร้อยแล้ว เราก็ขึ้นไปถวายสังฆทานและปัจจัยแด่หลวงพ่อเจ้าอาวาสที่กุฎิ พร้อมกับกราบขออนุญาตค้างคืน ซึ่งหลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านก็ไม่ขัดข้องเมตตาบอกให้เราไปพักในวิหารของวัด เราเข้าไปทำความสะอาดวิหาร เปิดหน้าต่างบานสองบานพอให้อากาศระบาย เสร็จแล้วเราก็ปูเสื่อที่เตรียมมาเพื่อทำวัตรเย็นและนั่งสมาธิด้วยกันเพื่อแผ่เมตตาให้กับพระภูมิเจ้าที่ และผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี้แบบไม่แสดงกายหยาบทั้งหลาย อาจจะด้วยเหตุที่เรามีเปติญาติมารอรับส่วนบุญจากเราสถานที่แห่งนี้จึงทำให้เราพลัดหลงเข้ามาที่นี้ก็เป็นได้ ทำวัตรเย็นเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกมากางเต้นท์ข้างบันไดวิหาร วันนี้ขอนอนใกล้ ๆ พระให้มากที่สุด บอกตามตรงเลยว่านอนวัดมาก็หลายวัดไม่เคยรู้สึกหลอนตัวเองเท่ากับวัดแห่งนี้ ทั้งที่มีรถราวิ่งผ่านหน้าประตูวัด แต่แสงจันทร์ที่ผ่านลอดซุ้มโขงประตู กับเสียงลมและอากาศอันเย็นเยียบจับใจพัดผ่านกิ่งใบของต้นโพธิ์ในวัด มันทำให้เราจิตตกและหลอนตัวเองได้ง่าย ๆ มองไปก็นึกถึงหนังผีที่มีคนนั่งอยู่บนคาคบไม้ คืนนี้ปวดฉี่แต่ไม่กล้าไปห้องน้ำฮือ ๆ ๆ วันที่ห้าผู้เขียนตื่นตั้งแต่ตีสี่เศษ ๆ เพราะปวดท้องเบา นอนกระสับกระส่ายอยู่นานจนสุดท้ายทนไม่ไหวก็เลยค่อย ๆ ถือไฟฉายเดินลอดกุฎิหลวงพ่อเจ้าอาวาสไปเข้าห้องน้ำ นับ 1-2-3 ทำใจก่อนเปิด ท่องไว้ว่าการล้างห้องน้ำวัดเป็นการสะเดาะเคราะห์ได้อานิสงส์หลาย ๆ เราจะได้หมดทุกข์หมดโศก ก็หมดจริง ๆ แหล่ะ เพราะพอล้างห้องน้ำเสร็จ เราก็ได้ปลดทุกข์ และได้ชำระร่างกายด้วย ทำความสะอาดห้องน้ำเสร็จ พระก็ทำวัตรเสร็จพอดี เราก็ขึ้นไปแจ้งท่านว่าได้ล้างห้องน้ำให้เรียบร้อยแล้ว พระมีสีหน้าพอใจไม่ว่ากระไร ท่านไปทำธุระส่วนตัว ส่วนเราก็ทำความสะอาดพื้นที่รอบ ๆ วิหาร เตรียมสำหรับการถวายภัตตาหารเช้า เช้านี้พระของเราออกบิณฑบาตเพียงรูปเดียว เนื่องจากในหมู่บ้านจะไม่มีพระบิณฑบาต ธรรมเนียมที่นี่ชาวบ้านจะจัดอาหารมาถวายที่กุฏิ ส่วนการใส่บาตรนั้น ชาวบ้านเขาจะเอาข้าวปั้นเล็ก ๆ ไปวางไว้ที่พานหรืออะไรสักอย่างหน้าพระพุทธ พร้อมกับเทน้ำใส่ภาชนะที่เขาเตรียมไว้ เราเดินตามพระเราไปบิณฑบาตเพื่อสำรวจรอบ ๆ หมู่บ้าน เผอิญระหว่างทางมีชาวบ้านปั่นจักรยานมาก็เลยจอดใส่บาตรสองสามคน ส่วนคนอื่น ๆ มองแบบงง ๆ เราเดินตามพระบิณฑบาตทั่วหมู่บ้านเสร็จแล้ว ก็กลับมาที่วิหารเตรียมฉันอาหาร ปรากฎว่ามีแม่อุ้ยปั่นจักรยานมาใส่บาตรพระพุทธ แม่อุ้ยดีใจที่เห็นพระอยู่ในวิหารก็เลยเอาข้าวนึ่งทั้งหมดที่มีใส่บาตรให้ และถามเราว่ามาจากไหน กิ๋นข้าวแล้วกา มีอะหยังกินก่อ เราก็ตอบว่าเดี๋ยวกินข้าวก้นบาตรก็ได้ แม่อุ้ยก็ไม่ว่ากระไร ปั่นจักรยานไปสักพักก็กลับมาพร้อมข้าวนึ่งห่อใบตองตึงห่อใหญ่ พร้อมกับแอ๊บอะไรสักอย่างมาให้ 1 ห่อ วันนี้แปลกมากเรื่องอาหาร คือในบาตรก็มีพอฉันได้อิ่มพอดี ๆ ส่วนข้าวที่แม่อุ๊ยเอามาให้นั้นก็กินกันอิ่มพอดี ๆ สองคน ไม่ขาดไม่เกิน กินอิ่มกันเรียบร้อย ก็เก็บข้าวของกราบลาหลวงพ่อเจ้าอาวาสซึ่งท่านก็ยิ้มแต้บอกว่า โชคดี ๆ พอออกมากจากวัดค่อยเห็นป้ายสำนักสงฆ์ที่เราคิดว่าเราจะไปพักเมื่อคืน ก็พากันแปลกใจอยู่ว่าเราขับรถผ่านตรงนี้ แต่ทำไมไม่เห็นป้ายกันหว่า แต่มันก็ผ่านไปแล้วเนอะเราคงไม่ซ่อมด้วยการนอนที่นี่กันหรอกคืนนี้ อีกอย่างมีโยมโทรมาหาถามว่าจะกลับวัดวันไหน จะไปทำสังฆทานปีใหม่ ก็เลยทำให้เราตัดสินใจที่จะกลับกันวันนี้ แต่ระหว่างกลับ เราก็แวะวัดพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีฉลูและเป็นปีเกิดของพระของเรา เสร็จแล้วก็ขับลงมาเรื่อย ๆ ผ่านอำเภอศรีสัชนาลัย แวะวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง ไหว้พระเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางกลับจังหวัดขอนแก่น ถึงขอนแก่นประมาณ 2 ทุ่มเศษ ๆ เรื่องและภาพโดยผู้เขียน