หากนึกถึงยอดดอยสูงกลางป่าเขาทางตอนเหนือของประเทศไทย ทำนายได้เลยว่าทุกคนต้องนึกถึงการเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนยังสถานที่แห่งนี้ในฤดูหนาว เพื่อพาร่างกายไปสัมผัสและปะทะกับสภาพอากาศที่หนาวจับใจ ซึ่งต้องรอเวลาให้ลมหนาวจากจีนแผ่นดินใหญ่ พัดลงมาเยี่ยมเยือนแผ่นดินถิ่นดอยทางตอนบนของประเทศไทย แต่การเดินทางครั้งนี้ จะนำพาทุกท่านเดินทางตะลุยถิ่นแดนดอย เพื่อค้นหาความงดงามของธรรมชาติที่แตกต่าง ท่ามกลางฤดูกาลแห่งสายฝน ณ เวียงดอยลอยฟ้า ที่ “อำเภอกัลยาณิวัฒนา” จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอกัลยาณิวัฒนา เป็นอำเภอสุดท้องน้องใหม่ลำดับที่ 25 ของจังหวัดเชียงใหม่ และลำดับที่ 878 ของประเทศไทย แยกตัวออกมาจากอำเภอแม่แจ่ม ด้วยสภาพภูมิประเทศที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาดอยสูง จึงมีประชากรอาศัยกระจายตัวค่อนข้างเบาบางและทำให้ที่นี่อากาศค่อนข้างเย็นตลอดทั้งปี ซึ่งในช่วงฤดูหนาวแล้วละก็ คงไม่ต้องพูดถึงกันเลยครับ เพราะหนาวจับใจเลยทีเดียว ส่วนการเดินทางมายังอำเภอกัลยาณิวัฒนานั้น สามารถเดินทางได้ 3 เส้นทางหลัก คือ 1) เส้นทางจากอำเภอแม่แจ่ม (ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง) ตามถนนหมายเลข 1088 ตัดเข้าสู่ถนนหมายเลข 1263 มุ่งสู่กัลยาณิวัฒนา เส้นทางนี้ไม่แนะนำนะครับ เพราะค่อนข้างโหดและใช้เวลานานมาก แต่ถ้าจะมาจากแม่แจ่มก็คงจะเลี่ยงเส้นทางนี้ไม่ได้เอาเสียจริง ๆ ฮ่า ๆ ๆ 2) เส้นทางจากอำเภอสะเมิง (ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง) ตามถนนหมายเลข 1349 ถนนเส้นนี้จะเชื่อมต่อกับอีกเส้นทางที่มาจาก 3) อำเภอปาย (ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง) ตามถนนหมายเลข 1265 ซึ่งแน่นอนว่าหากใครเดินทางมาเที่ยวอำเภอปาย แล้วไม่ได้มุ่งหน้าไปตัวเมืองแม่ฮ่องสอน แต่เดินทางกลับเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ หากมีเวลาเหลือเพียงพอแนะนำให้เดินทางมาท่องเที่ยวที่กัลยาณิวัฒนาต่ออีกสักคืน แล้ววันรุ่งขึ้นจึงมุ่งหน้าเข้าเชียงใหม่ทางอำเภอสะเมิง ผ่านอำเภอแม่ริม หรืออำเภอหางดงก็ได้ตามสะดวก แต่ทั้งนี้ในทุกเส้นทางที่มุ่งสู่ดินแดนดอยลอยฟ้าแห่งนี้ เป็นเส้นทางที่มีโค้งจำนวนมากจึงต้องขับขี่พาหนะกันด้วยความระมัดระวังครับ โดยครั้งนี้ ผมเลือกใช้เส้นทางเดินทางมาจากอำเภอปายครับ เนื่องจากมาท่องเที่ยวอำเภอปายพอดี จึงขอต่อทริปที่กัลยาณิวัฒนาอีกสักวันหนึ่ง ขับรถมุ่งหน้าไปตามถนนหมายเลข 1265 เมื่อถึงระยะทางช่วงกิโลเมตรที่ 29 -30 จะพบกับน้ำพุร้อนธรรมชาติที่พวยพุ่งเดือดปุด ๆ เชื้อเชิญให้ได้แวะเยี่ยมชม ซึ่งระดับความร้อนของน้ำพุร้อนที่นี่ สามารถต้มไข่ได้เลยครับ หากผ่านมาในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหลักช่วงอากาศหนาว บริเวณนี้จะมีร้านค้าเล็ก ๆ มาบริการขายไข่พร้อมอุปกรณ์ใส่สำหรับลวกให้เราพร้อมสรรพ แต่ผมผ่านมาช่วงนี้ช่างเงียบเหงา เห็นเจ้าน้ำพุเดือดพุ่งอยู่เดียวดายเลยแวะทักทายเสียหน่อย ตลอดระยะทางสองข้างทางเต็มไปด้วยภาพพาโนรามาของ ป่า เขา ทิวดอย ที่เขียวสดงดงามในยามได้รับน้ำฝนประพรมลงมาจากฟ้า มุ่งหน้าต่ออีก 30 กิโลเมตรก็เข้าสู่เขตอำเภอกัลยาณิวัฒนา จะมีป้ายยินดีต้อนรับสู่อำเภอลำดับที่ 878 ของประเทศไทย ซึ่งเป็นอำเภอน้องใหม่ล่าสุดระดับประเทศและของจังหวัดเชียงใหม่ในขณะนี้ แต่ระหว่างทางผมไม่ได้แวะเก็บภาพมาฝากนะครับ เนื่องจากสายฝนเริ่มโปรยปรายไม่เป็นใจให้ได้หยุดแวะเก็บภาพมาฝากกัน ผมมุ่งตรงมาสักพักก็ถึงยัง "โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์" ที่พักคืนนี้ของผม โดยราคาที่พักช่วงนี้จะอยู่ที่ราคาหลังละ 600 บาทครับ จัดแจงข้าวของสัมภาระเข้าที่พักเสร็จสรรพก็ต้องรีบออกไปในตลาดย่านวัดจันทร์ซึ่งเลยจากโครงการหลวงไปอีกราว 4-5 กิโลครับ เพราะเวลานี้จะพลบค่ำแล้ว ร้านค้าย่านนี้จะปิดกันเร็วไม่เกิน 6 โมงเย็น ประกอบกับยังไม่มีร้านสะดวกซื้อด้วยจึงต้องพึ่งร้านชำเป็นหลัก ระหว่างทางพอมีเวลาแวะถ่ายรูปท้องทุ่งนาที่ต้นข้าวเริ่มออกต้นตั้งตรงสีเขียวสวยงาม ผ่านค่ำคืนที่เย็นสบายนอนฟังสายฝนโปรยปรายจนหลับใหล กับเช้าวันใหม่ที่อากาศสดใสและเป็นใจที่ไม่มีเค้าของเมฆฝน แสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้าตัดกับสีเขียวของต้นสนและเมเปิล ทำให้ดูสบายตาและสดชื่นเป็นที่สุด จึงออกเดินสำรวจธรรมชาติเก็บภาพความประทับใจนี้มาฝากกันครับ ออกเดินทางต่อเพื่อไม่ให้สายเกินไป และจะได้มีเวลาไปหาอาหารเช้ารับประทานรองท้องก่อนมุ่งหน้าสู่เชียงใหม่ต่อไป โดยผมแวะรับประทานอาหารเช้าง่าย ๆ บริเวณตลาดหน้าวัดจันทร์ อิ่มแล้วก็แวะมาถ่ายรูปและเยี่ยมชมความแปลกที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ของวิหารที่ออกแบบหน้าบันเป็นทรงแว่นตาขนาดใหญ่ ที่ใครเห็นก็อดที่จะแวะมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเสียมิได้ มุ่งหน้าออกจากบ้านวัดจันทร์เข้าสู่ถนนหมายเลข 1349 มุ่งสู่อำเภอสะเมิง เมื่อถนนยกระดับขึ้นดอยมาได้สักระยะ ซ้ายมือจะมีจุดชมวิวในมุมมองพาโนรามา ที่เห็นแอ่งเขาด้านหน้าที่เป็นพื้นที่บ้านวัดจันทร์โดยรอบ และมองเห็นทิวเขาที่ทอดยาวเชื่อมกับจังหวัดแม่ฮ่องสอนอย่างสุดสายตา ซึ่งบริเวณจุดชมวิวนี้ตรงปลายผาจะมีพระธาตุองค์น้อย ๆ สีขาวตั้งตระหง่านโดดเด่นตัดกับสีเขียวของทิวทัศน์และปุยเมฆบนฟ้าดูสง่างามยิ่งนัก นามว่า “พระธาตุโฆ่ว์โพหลู่” หรือ “พระธาตุจอมแจ้ง” จุดนี้ในช่วงฤดูหนาวจะเป็นจุดชมทะเลหมอกที่งดงามมากจุดหนึ่ง ของอำเภอกัลยาณิวัฒนาเลยครับ แต่มาช่วงฤดูฝนก็จะได้สัมผัสกับทิวทัศน์ที่งดงามแปลกตามไปอีกแบบ พร้อมกับดอกปทุมมา ที่กำลังแทงดอกชูช่อรับสายฝนอยู่ทั่วบริเวณลานและทางเข้าจุดชมวิวบริเวณพระธาตุองค์นี้ ซึ่งสองข้างทางของถนนก็จะพบกับดอกปทุมมาที่ชูช่อออกดอกอยู่ดาษดื่น เช่นกัน ขับรถชมธรรมชาติมาเรื่อย ๆ ตลอดสองข้างทางจะพบกับแปลงปลูกสตรอว์เบอร์รี่แปลงใหญ่ โดยเฉพาะในเขตตำบลแม่แดดที่จะเห็นแปลงปลูกริมถนนอยู่มากมาย เมื่อมาถึงจุดช่วงถนนลอยฟ้าช่วงสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่เขตอำเภอสะเมิง ก็พบกับอีกหนึ่งจุดชมวิวที่สวยงาม ณ บริเวณที่เรียกว่า “ผาเหยียบเมฆ” ซึ่งพื้นที่โดยรอบบริเวณที่ลาดสันเขาก็จะปกคลุมไปด้วยแปลงปลูกสตรอว์เบอร์รี่ และจากการสอบถามเกษตรกรผู้ปลูกทราบว่า น่าจะออกผลให้เก็บเกี่ยวได้ในฤดูกาลแรกช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน พักผ่อนรับประทานอาหารกลางวัน ที่ผมเตรียมพกเสบียงออกมาตั้งแต่รับประทานอาหารเช้า ณ จุดนี้ ชื่นชมธรรมชาติ สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอดสักพัก ก็พร้อมออกเดินทางต่อผ่านอุทยานแห่งชาติขุนขาน มุ่งสู่อำเภอสะเมิง เข้าสู่อำเภอแม่ริม และตัวเมืองเชียงใหม่ต่อไป สิ้นสุดทริปบังเอิญเที่ยวของผม ที่ต่อเนื่องมาจากทริปตั้งใจที่อำเภอปาย กับการออกเดินทางตามล่าสหายสีเขียว ของการท่องเที่ยวในช่วง Greenery Season อย่างประทับใจ การเดินทางที่ได้สัมผัสกับการฟื้นคืนตื่นของธรรมชาติ ในหน้าร้อนที่แห้งแล้ง เปรียบเสมือนสัญญาณของชีวิตที่พร้อมจะเติบโต และออกเดินทางไปกับเส้นทางของชีวิตอีกครั้ง ฤดูกาลแห่งสีเขียว ที่ช่วยเยียวยา บำบัดให้ใจเราสงบและผ่อนคลาย ด้วยเป็นฤดูกาลที่ปราศจากความวุ่นวายของนักท่องเที่ยวที่แออัด ทำให้เราได้ใช้เวลาทบทวนตนเอง ให้พร้อมมีพลังก้าวต่อไปข้างหน้า เหมือนผืนป่าที่ได้ฟื้นคืนชีวิตจากสายฝนให้พร้อมที่จะเติบโตและเบ่งบาน ผลิดอก ออกผล สืบลูกออกหลานต่อไปได้อีกครั้ง แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางของผม Nueng Journey สวัสดีครับ