นี่ก็ใกล้ถึงวันที่ต้องไปบริจาคโลหิต ซึ่งเป็นงานอาสาประจำทุก ๆ 3 เดือนแล้ว แต่ก็ยังคิดอยู่ว่า จะไปบริจาคดีไหม เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร การต้องบริจาคโลหิตในสถานการณ์แบบนี้ก็เหมือนจะยิ่งสุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเข้าไปใหญ่ แต่ถ้าไม่บริจาคเลย นอกจากจะไม่ได้ทำตามเจตนารมณ์ตนเองและวงรอบการบริจาคในรอบปีแล้ว ก็อาจจะปิดโอกาสในการได้ช่วยเหลือคนป่วยรายอื่น ๆ ที่รออยู่ก็ได้ ซ้ำหนักเข้าไปอีกคือ ทราบข่าวมาว่า โลหิตที่จะให้บริการผู้ป่วยก็ขาดมากเสียด้วย ผมก็เลยเข้าไปเชคข้อมูลสักหน่อยว่า สภากาชาดไทยหรือหน่วยบริการโลหิตมีมาตรการอะไรที่พอจะทำมั่นใจในการไปบริจาคโลหิตในสถานการณ์เช่นนี้บ้าง อ่านแล้วก็คิดว่ามีประโยชน์กับคนอื่น ๆ ที่ควรรู้วิธีคัดกรองตนเองก่อนไปบริจาคโลหิตเพื่อจะให้ไม่ต้องเสียเวลาและเสี่ยงกับผู้ที่ได้รับโลหิตจากเรา จึงขอนำข้อมูลมาบอกกล่าวดังนี้ครับ ขั้นตอนที่ 1 ผู้ที่อาศัยหรือเดินทางมาจากที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 งดบริจาคโลหิต 4 สัปดาห์ ขั้นตอนที่ 2 ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโรคติดเชื้อโควิด-19 งดบริจาคโลหิต 4 สัปดาห์ ขั้นตอนที่ 3 ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อโควิด-19 นับตั้งแต่ตรวจพบเชื้อและหายป่วยโดยไม่มีอาการใด ๆหลงเหลืออยู่ งดบริจาคโลหิต 3 เดือน ขั้นตอนที่ 4 ภายหลังจากบริจาคโลหิต หากผู้บริจาคโลหิตได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อโควิด-19 ให้แจ้งหน่วยงานที่รับบริจาคโลหิตทราบทันที ขั้นตอนที่ 5 ผู้บริจาคโลหิตต้องตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพตนเอง โดยให้ข้อมูลตรงตามความเป็นจริง นอกจากนั้น ผู้ที่จะไปบริจาคโลหิต ควรปฏิบัติตนตามวิธีการป้องกันไวรัสโควิด-19 ก่อนมาถึงศูนย์รับบริจาคโลหิตให้เข้มข้นมากขึ้น ได้แก่ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีอาการไอจาม ล้างมือบ่อย ๆ กินอาหารร้อน ๆ ปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนกลางเมื่อทานอาหารร่วมกับผู้อื่น สวมหน้ากากอนามัยช่วยป้องกันการติดเชื้อจากอาการไอจามของผู้อื่น หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีผู้คนหนาแน่น รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายพักผ่อนให้เพียงพอ ทั้งนี้ สาเหตุที่ศูนย์รับบริจาคโลหิตต้องแจ้งให้ผู้จะมาบริจาคโลหิตต้องคัดกรองตัวเองเข้มข้นขนาดนี้ เพราะว่าการบริจาคโลหิตนั้น เป็นการนำโลหิตดีไปช่วยชีวิตคนป่วย เป็นการทำบุญของผู้บริจาค หากโลหิตที่ให้ไปมีเชื้อ นอกจากจะเสียเปล่าแล้วก็อาจจะพลาดไม่ได้ทำบุญอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะไปบริจาคโลหิตท่านใด หากอ่านดูทั้ง 5 ขั้นตอนเกี่ยวกับมาตรการในการคัดกรองตัวเองแล้ว หากพบว่าตัวเองเข้าข่ายขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งใน 5 ขั้นตอนนั้น ก็ขอให้อยู่บ้านไม่ต้องไปบริจาคโลหิต จะได้ไม่ต้องเสียเวลาและเสี่ยงในการนำตัวไปพบปะคนอื่น ๆ แต่ถ้าไม่เข้าข่ายแม้แต่ขั้นตอนเดียว ผมแนะนำว่ารีบไปบริจาคโลหิตเลยเพราะตอนนี้ โรงพยาบาลต่าง ๆ มีความต้องการโลหิตจำนวนมาก หรือหากมีสงสัยอยากได้ข้อมูลเพิ่ม สามารถโทรสอบถามได้ที่ 02 256 4300 ในวันและเวลาราชการนะครับ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน