หลังจากวางดอกไม้สักการะเสาอินทขีลหรือเสาหลักเมืองเชียงใหม่ เข้าไปกราบพระอัฎฐารสพระประธานภายในวิหารวัดเจดีย์หลวงและเดินชมพระธาตุเจดีย์และสิ่งก่อสร้างโดยรอบ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ “หอธรรมและพิพิธภัณฑ์วัดเจดีย์หลวง” ด้วยรูปทรงทางสถาปัตยกรรมล้านนาที่โดดเด่นเป็นอาคาร 2 ชั้น ประตูเข้าที่กะทัดรัดสีขาวดูสวยงามน่าเข้า ผมจึงเดินเข้าไปทันที“ส่วนใหญ่คนไม่ค่อยเข้ามากันนะ มาเดินรอบพระเจดีย์ถ่ายรูปหรือนั่งคุยกันแล้วเขาก็ไป น้อยคนมากที่จะเข้ามาดูที่นี่ น้องเป็นคนแรกของช่วงบ่ายที่เข้ามานะนี่” คุณป้าผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์พูดกับผม ขณะกำลังถอดรองเท้าเตรียมเข้าไปดูด้านในพิพิธภัณฑ์ ก็น่าจะจริงอย่างที่คุณป้าบอก เพราะดูเหมือนว่าคนไทยส่วนใหญ่และชาวต่างชาติเองมักจะพากันไปชมเสาสะดือเมือง เข้าไปด้านในพระวิหารต่อจากนั้นมาเดินชมรอบพระเจดีย์แล้วก็กลับจริง ๆ“หอธรรมและพิพิธภัณฑ์วัดเจดีย์หลวง” ที่ผมจะไปพาไปชมนี้ ตั้งอยู่ด้านขวามือหรือด้านทิศเหนือของพระเจดีย์ภายในวัดเจดีย์หลวง ตามประวัติบอกว่า สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2550 ในบริเวณที่เป็นหอธรรมดั้งเดิมของคณะสังฆาวาสหอธรรมในอดีต เพื่อเป็นอนุสติในโอกาสที่ พระพุทธพจนวราภรณ์ (จันทร์ กุสโล) อดีตเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง มีอายุครบ 90 ปี โดยตัวอาคารเป็นแบบนพื้นเมืองภาคเหนือ ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ชั้นบนสร้างด้วยไม้สักเมื่อเข้าไปด้านในสิ่งแรกที่เห็นได้เลยคือ หุ่นขึ้นผึ้งพระพุทธพจนวราภรณ์ (จันทร์ กุสโล) นั่งบนธรรมมาสน์เก่าแก่เชิงช่างรัตนโกสินทร์ พร้อมกับพัดที่ระลึกเป็นรูปตาลปัตรตามสมณศักดิ์ท่าน ด้านข้างเยื้องไปด้านหลังเป็นตู้แสดงเครื่องอัฐบริขารและสิ่งของเครื่องใช้ประจำวันของท่าน พร้อมกับตราตั้งสมณศักดิ์และตาลปัตรรูปนกหัสดีลิงค์สีทองสวยงาม ณ จุดนี้ พอกราบท่านแล้ว ใครจะทำบุญทำนุบำรุง ก็หยอดที่ตู้รับบริจาคได้เลยครับการจัดแสดงโดยรอบของพิพิธภัณฑ์ที่ชั้นล่างนี้ จัดแสดงด้วยภาพถ่ายและชิ้นส่วนวัตถุโบราณบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวัดเจดีย์หลวงตั้งแต่อดีตซึ่งหาอ่านได้ทั่วไป แต่มีชิ้นงานที่น่าสนใจอยู่ 3 ชิ้นที่อยากจะนำเสนอเพราะประทับใจมาก คือ 1.ตู้ลายรดน้ำสีขาว-ทอง ลวดลายโดยรอบทั้ง 4 ด้าน เป็นรูปเทวดาพนมมือเหาะไปในอากาศ ซึ่งเป็นเครื่องสังเค็ด งานพระเมรุเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช(พระบรมราชชนกในหลวงรัชกาลที่ 9) เมื่อพ.ศ. 2472 2.เศียรพญาช้างเอราวัณ 3 เศียรซึ่งเป็นสัญลักษณ์พาหนะของพระอินทร์ แกะสลักจากไม้สักลงรักสีดำปิดทองทั้งตัวและลงรักสีแดงปิดทอง ดวงตาเป็นสีน้ำเงินวาว ตามประวัติกล่าวว่า เคยประดับไว้ที่หน้าบันชั้นบนทางทิศตะวันออกของพระวิหารหลวงหลังเดิมราว พ.ศ. 2471 3.แผ่นทองจังโก ใช้ประดับพระธาตุเจดีย์ เป็นแผ่นโลหะปิดทอง ใส่กรอบไม้ประดับลวดลายพรรณพฤกษาตกแต่งด้วยกระจกอย่างสวยงามขึ้นไปชั้นบนซึ่งเป็น “หอธรรม” บันไดทำจากไม้สัก ลื่นมาก เวลาเดินแนะนำให้จับราวบันไดไว้โดยตลอด ชั้นนี้มีนิทรรศการเล่าเรื่องประวัติของหอพระไตรปิฎกและตู้เก็บประไตรปิฎก พร้อมกับคัมภีร์พระพุทธศาสนาในอาณาจักรล้านนาและใกล้เคียง มีทั้งที่เขียนลงใบลานและปั๊ปสา("ปั๊บสา" หรือ "พับสา" เป็นเอกสารโบราณประเภทหนึ่งของล้านนา มีความสำคัญรองจากเอกสารประเภทใบลาน ด้วยเหตุที่พับสาทำจากกระดาษสาจึงเรียกว่า “พับสา” มักจะบันทึกองค์ความรู้เฉพาะถิ่นเอาไว้) ให้อ่านพร้อมกับภาพประกอบแต่ละชนิดเยอะมาก ตรงกลางมีหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ อริยสงฆ์วัดดอยแม่ปั๋ง นั่งอยู่บนธรรมมาสน์เหมือนกำลังแสดงธรรม ให้กราบไหว้ด้วยแม้ดูเหมือนจะไม่ใช่เป้าหมายของการมาชมวัดตั้งแต่แรก แต่การได้สละเวลาเข้าไปหาความรู้เพิ่มเติมที่ “หอธรรมและพิพิธภัณฑ์วัดเจดีย์หลวง” นี้ นับว่าคุ้มค่ามาก ทำให้อยากชวนเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ นักเที่ยวนักแสวงบุญแวะชมสถานที่แบบนี้ในวัดอื่น ๆ ในโอกาสต่อไป เพราะในนั้น มีสิ่งของที่มีคุณค่า งดงามและน่าสนใจให้เราไว้ว้าวอีกเยอะเลยครับพิกัดที่ตั้ง : วัดเจดีย์หลวง เลขที่ 103 ถนนพระปกเกล้า ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่วันเวลาเปิด-ปิด : 09.00-17.00 น.ภาพประกอบทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน : อนุญาตให้ใช้เพื่อการศึกษาได้ฟรี