อื่นๆ

เรื่องเล่าของแม่...

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
เรื่องเล่าของแม่...

"แม่เคยเห็นผีมั้ย?" บทสนทนาเริ่มเปลี่ยนเป็นคำถามชวนขนลุก ท่ามกลางอาหารมื้อเย็น โต๊ะกินข้าวที่มีอาหารวางเรียงราย แสงไฟ และบรรยากาศโพล้เพล้ใกล้ค่ำ จะว่าไปผมก็ไม่ค่อยได้คุยกับแม่สักเท่าไหร่นัก นับตั้งแต่เริ่มทำงานหาเงินด้วยตนเอง การสนทนาสัพเพเหระจึงเกิดขึ้นได้น้อยมาก เพราะเราสองคนแม่ลูกก็ไม่ค่อยได้มีเวลาให้กันมากนัก

"เคยสิ" คุณแม่สมพร วัยหกสิบกว่าๆตอบพลางอมยิ้มอย่างมีเลศนัย ดูพิศวงสงสัย คงประหลาดใจ เพราะลูกชายคนนี้ ไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางนางไม้ แม้ศาลพระภูมิยังไม่ยกมือขึ้นไหว้ กลับเป็นฝ่ายเปิดประโยคคำถามเรื่องเร้นลับอย่างนี้ขึ้นซะเอง

"เรื่องมันเกิดเมื่อสมัยที่แม่ ยังเป็นเด็ก ตอนสมัยที่อยู่บ้านนอกโน้น"......บทสนทนาเริ่มเป็นไปอย่างออกรส อาหารบนโต๊ะก็ออกรสเช่นเดียวกัน ราวกับผมได้นั่งดูภาพยนตร์สยองขวัญฟอร์มยักษ์ แม้ผมจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้มากนัก แต่ผมกลับชอบได้ยินได้ฟังมันอย่างประหลาด ครู่เดียวเท่านั้น เรื่องเล่าของแม่ ก็พาผมเข้าไปในโลกของจินตนาการอันลี้ลับ จุดเริ่มต้นของการค้นพบเรื่องวิญญาณ......

Advertisement

Advertisement

เด็กหญิงสมพรวัย 10 ขวบ เป็นวัยเด็กที่กำลังเรียนรู้ เธอมีแม่และพ่อ ที่เป็นเกษตรกรผู้ใช้แรงงาน ในถิ่นที่ราบสูงที่แห้งแล้งกันดารของเมืองโคราช ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวว่ากันว่าเป็นส่วนท้ายของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ไม่หลงเหลือความเร้นลับให้ค้นหาอีกต่อไปแล้ว ทว่าบัดนี้ มันกลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมสำหรับปลูกข้าว ท้องนากว้างไกลสุดลูกหูลูกตาซึ่งบัดนี้เป็นเพียงหน้าแล้งหลังฤดูเก็บเกี่ยว ท้องนาที่เคยเขียวขจีก็เหลือเพียงแค่ตอซังข้าวแห้งๆที่ถูกตัดไว้ เสียงจอบเสียมขุดดินดังโป้กๆของตาเหลี่ยม ผู้เป็นบิดาของเด็กหญิงสมพร ซึ่งบัดนี้ กำลังขุดดินแดงที่แห้งผาก เพื่อขุดเจาะเป็นบ่อน้ำไว้ใช้ในยามแล้ง บนที่ดินของคนอื่น คนมีเงินมักจ้างตาเหลี่ยมให้ทำงาน ที่ใช้แรงงาน เพราะตาเหลี่ยมเองก็เป็นคนขยัน ไม่เคยเกี่ยงงาน สู้งานหนักทุกประเภท ในทุกวันที่ออกมาขุดบ่อดิน ตาเหลี่ยมจะสอนเด็กหญิงสมพรให้ขุดดินช่วยกัน และมักสอนลูกสาวของแกเสมอว่า เป็นคนขยันแล้วจะได้ดี....

Advertisement

Advertisement

เด็กหญิงสมพรเองในวัยนั้นเป็นเพียงแค่เด็กวัยกำลังซน ที่มีเรื่องวิ่งเล่นสนุกๆในทุ่งนากว้างๆอีกเยอะแยะมากมาย แม้จะติดสอยห้อยตามพ่อมาเพื่อทำงาน แต่ของเล่นสนุกๆตามธรรมชาติในห้วยหนองคลองบึงก็เป็นสิ่งเริงรมย์เพียงอย่างเดียวสำหรับเด็กสาวชาวบ้านนอก ตาเหลี่ยมเองก็ปล่อยให้ลูกสาวได้วิ่งเล่นเรียนรู้อย่างอิสระในทุ่งกว้าง ส่วนตัวเองก็ขุดดินขุดบ่อ ตั้งแต่บ่ายคล้อย ท่ามกลางแดดแรงจ้า เวลาผ่านไปจนกระทั่งใกล้พลบค่ำ เป็นเวลาคล้ายๆจะห้าโมงเย็น เพราะตาเหลี่ยมไม่ได้มีนาฬิกาโก้หรูไว้ดูเวลา มีเพียงแสงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้า เป็นสัญญาณว่าเวลาพลบค่ำกำลังจะมาถึง จึงรีบเก็บจอบเก็บเสียมเก็บกระบุง เตรียมตัวกลับบ้าน หันไปเรียกเด็กหญิงสมพรที่วิ่งเล่นไล่จับแมลงปออยู่ในทุ่งอย่างไม่สนใจผู้เป็นพ่อ

"ไปอีนาง กลับบ้านได้แล้ว" ตาเหลี่ยมพูดมาเป็นภาษาโคราช สำเนียงคล้ายภาษากลางปนภาษาอีสานแปร่งๆ

Advertisement

Advertisement

"เดี๋ยวหนูตามไปเด้อพ่อ บ้านอยู่ใกล้ๆแค่นี้" เด็กหญิงสมพรกำลังอยู่ในโลกส่วนตัว จนลืมที่จะกลับบ้านกับผู้เป็นพ่อ ปล่อยให้ผู้เป็นพ่อคว้าจอบคว้าเสียมเดินกลับบ้านลับตาไป ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเพียงแค่กิโลเมตรกว่าๆ ซึงเด็กหญิงสมพร ก็เคยสัญจรวิ่งเล่นในทุ่งเหล่านี้ในเวลากลางวี่กลางวันอยู่เป็นปกติตามประสาเด็กบ้านนอก

..........แต่เธอคงจะลืมไปว่า นี่ไม่ใช่เวลากลางวันแล้วนะ............

มารู้ตัวอีกที ท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนจากสีส้ม กลายเป็นสีม่วงเข้ม ความหนาวเย็นยะเยือกท่ามกลางทุ่งโล่งเริ่มครอบงำ เสียงหรีดหริ่งเรไรเริ่มร้องระงม นกกลางคืนตีปีกพึ่บพั่บๆ ส่งเสียงร้อง นกกลางวันเกาะกลุ่มบินกลับรังกันลับตาไปนู่นแล้ว ความเงียบที่เริ่มครอบงำ ทำให้เด็กหญิงสมพรหมดสนุกกับการวิ่งเล่นกับจินตนาการในวัยเด็กที่ทุ่งโล่งๆนั้นเสียที

เธอตัดสินใจเดินลัดเลาะไปตามคันนา ที่เคยคุ้นในเวลากลางวัน แต่นี่มันพลบค่ำ ความกลัวเริ่มเกาะกินหัวใจ ท่ามกลางความมืดโพล้เพล้ เด็กหญิงสมพรมองเห็นผู้ชายคนหนึ่ง เดินนำหน้าอยู่ไม่ห่างไปแค่สี่ห้าเมตร แต่งกายเหมือนชาวบ้านปกติ คงเป็นชาวบ้านที่ไปทุ่งนามา และกำลังกลับไปที่หมู่บ้านทางเดียวกันกับเธอพอดี

เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาที่มีเพื่อนร่วมทาง เธอพยายามกวดฝีเท้าเข้าไปใกล้ เผื่อจะได้ทักทายให้อุ่นใจ แต่ยิ่งวิ่งเข้าไปใกล้เท่าไหร่ ก็รู้สึกเหมือนจะตามเท่าไหร่ก็ไม่ทัน และแล้วสิ่งแปลกประหลาดก็เริ่มปรากฏ

ชายคนนั้นก้าวเดินไปไม่หยุด มองเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆทะมึน ท่ามกลางความมืดโพล้เพล้ ตะวันลับขอบฟ้าหายไปสนิทเสียแล้ว ในความจริง ยิ่งไกลห่างออกไป เราจะยิ่งเห็นตัวคนเล็กลง แต่ทว่าสิ่งที่เด็กหญิงสมพรเห็น กลับเป็นตรงกันข้าม เมื่อชายคนนั้นยิ่งห่างไกลออกไป ตัวเขาเริ่มสูงขึ้น...... สูงขึ้น และสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเด็กหญิงสมพรเริ่มหวั่นใจ จนต้องหยุดชะงักเดิน แล้วร่างนั้นก็หยุดเดินเช่นเดียวกัน แค่อึดใจเดียว ร่างปริศนานั้น ยืดตัวขึ้นสูงเทียบเท่าต้นตาลที่อยู่ริมคันนานั้น สูงจนแหงนคอตั้งบ่า ส่งเสียงหวีดแหลมโหยหวน

วี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด......................

เสียงมันแหลมโหยหวนราวกับมีคนมาเป่าขลุ่ยไม้ไผ่เป็นโทนเดียวก็ไม่ปาน แต่คงไม่ใช่เวลาที่เด็กหญิงสมพรจะมาอภิรมย์กับเสียงขลุ่ยไม่ไผ่ เพราะรู้ตัวแล้วว่าอะไรเป็นอะไร เธอวิ่งลงนาข้าวที่มีแต่ซังข้าว หลบเลี่ยงชายปริศนาตัวสูงเท่าต้นตาลนั้น ตัดเป็นเส้นตรงมุ่งหน้าไปยังแสงไฟของหมู่บ้าน ขนหัวขนหูลุกขึ้นชูชัน หูอื้อตาลายได้แต่ร้องตะโกนเรียกหาพ่อ ช่วยหนูด้วย เธอไม่กล้าหันหลังกลับไปมอง ได้แต่วิ่งโดยไม่สนใจอะไร แค่ขอให้ถึงบ้านให้เร็วที่สุด.....

ด้วยความรวดเร็ว ตาเหลี่ยมมองเห็นเด็กหญิงสมพรวิ่งเข้าบ้านแบบติดจรวด ปากร้องโวยวายผีหลอกๆ ก็วิ่งเข้าไปหาลูกสาว พร้อมกับถามว่าไปเจออะไรมา เด็กหญิงสมพรเล่าเหตุการณ์ละล่ำละลักออกมาตะกุกตะกัก จนกระทั่งยายบัว แม่ของเด็กหญิงสมพร เอาน้ำมาให้กินก่อน จึงทุเลาความหวาดกลัวลง

หลังจากเล่าเรื่องราว ตาเหลี่ยมกับยายบัวก็ดุไปพลางหัวเราะไปพลางด้วยความขำขัน

"พ่อบอกแล้วให้รีบกลับ เป็นยังไงล่ะ ฮึ ฮึ"..........

คุณนายสมพร ผู้บัดนี้ปลีกวิเวกมาใช้ชีวิตอยู่เป็นคนเมืองมีสรรพสิ่งพร้อมสรรพด้วยน้ำพักน้ำแรง เล่าเรื่องราวชีวิตในวัยเด็กอย่างออกรส.....

ผมได้แต่กลืนน้ำลายเอื้อก ขนลุกซู่ ไม่คิดว่าแม่จะเคยเจอเรื่องหลอนขนาดนี้ ช่างเป็นมื้อเย็นที่มีอรรถรส ราวกับได้นั่งดูหนังผีซีรี่ดัง

จำไว้นะลูก สิ่งที่เราไม่เคยเห็น เราไม่เชื่อ ไม่ใช่มันไม่มี บาปบุญคุณโทษ เรามองไม่เห็น แต่ไม่ใช่มันไม่มี โลกหลังความตาย เราไม่เห็นไม่ใช่มันไม่มี มีชีวิตอยู่ก็ทำความดีไปเถิดลูก เป็นคนดีแล้วชีวิตจะไม่ตกอับ......

คำพูดจบประโยคสนทนาบนโต๊ะอาหารมื้อนั้น มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเข้าใจ จนกระทั่งวันนี้ วันที่ได้เจอกับเรื่องเร้นลับด้วยตัวเอง.......

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์