อื่นๆ

ต้นมะพร้าวต้นนั้น ตอนที่ 1

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ต้นมะพร้าวต้นนั้น ตอนที่ 1

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้คือประสบการณ์ การเจอผีครั้งแรกในชีวิต และหลังจากการเจอผีครั้งที่ 3 ก็เลิกใส่ตัวเลขให้กับประสบการณ์เรื่องนี้ไปเลย เพราะจำไม่ได้อีกต่อไปแล้วว่าเป็นการเจอผีครั้งที่เท่าไร การเจอผีครั้งแรก เรียกได้ว่าเป็นการเจอผีที่กระทบกับจิตใจมากที่สุด และมีผลมาจนถึงทุกวันนี้.....

ดิฉันเป็นเด็กบ้านนอก ครอบครัวเราเป็นครอบครัวใหญ่ อาศัยอยู่ในบ้านหลังโต กับคุณตาคุณยายและน้าๆ บ้านของคุณตาคุณยายถูกแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือใช้เป็นที่อยู่อาศัย อีกส่วนเป็นบริเวณสวน(ป่า) ซึ่งคุณตาคุณยายปลูกต้นมะพร้าวเตี้ยๆ และต้นมะม่วงพุ่มหนากั้นเป็นแนวไว้ ด้านในมีต้นผักขี้เหล็กเป็นแถว มีพืชผักสวนครัวเรียงราวเต็มบริเวณ และมีต้นไผ่กอใหญ่อยู่ตรงกลางสวน สวนหลังบ้านของเรารกทึบ จนควรจะเรียกว่าป่าขนาดย่อมๆมากกว่า เพราะสิงสาราสัตว์ต่างๆ ก็พากันมาอาศัยอยู่ในสวนนี้ โดยเฉพาะงู เด็กๆจึงถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในสวนหลังบ้านนี้ เพื่อความปลอดภัย

Advertisement

Advertisement

ด้วยความที่คุณตาเคยเป็นข้าราชการระดับสูง บ้านของเราจึงมีแขกมาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสาย มีแขกเหรื่อแวะเวียนมาทานอาหารมื้อเที่ยงกับคุณตาคุณยายเป็นประจำไม่เว้นแต่ละสัปดาห์ เราจึงจ้างคนรับใช้ไว้ช่วยคุณยายทำงานบ้าน โดยมีห้องนอนคนรับใช้ติดอยู่กับครัว แยกออกมาจากตัวบ้าน

เมื่อดิฉันเติบโตขึ้นจนเข้าเรียนระดับอนุบาล ที่บ้านก็เลิกจ้างคนรับใช้ และให้ดิฉันกับพี่ๆ เริ่มทำงานบ้าน   นอกจากรีดเสื้อผ้าชุดนักเรียนของตัวเองแล้ว เราจะสลับเวรกัน หุ่งข้าว เก็บโต๊ะ เช็ดโต๊ะ กวาดพื้น และล้างจาน งานที่หนักที่สุดคือการล้างจาน เพราะที่บ้านของเรามีคนอาศัยอยู่นับสิบคน และยังมีแขกแวะเวียนมาร่วมโต๊ะรับประทานอาหารอยู่เสมอ แต่ละวันเราจะต้องล้างจานประมาณ 2 กะละมังซักผ้าใหญ่ ซึ่งสำหรับเด็ก 5 ขวบ ถือเป็นงานหนักมาก น่าเบื่อมาก และที่สำคัญคือ อ่างล้างจานอยู่นอกบ้าน ไกลจากทุกๆสิ่ง และอยู่ติดกับแนวมะพร้าวสวนป่าของเรา ซึ่งเมื่อสามสิบปีก่อน เรามีเพียงแสงสีเหลืองที่ไม่ค่อยจะสว่างจากหลอดไส้ดวงเล็กๆ เพียงดวงเดียว ตรงห้องครัวด้านนอก ในการมองเห็น เพื่อนั่ง ยืน ล้างจานกองมหึมา.... เพียงลำพัง  มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืด....

Advertisement

Advertisement

ด้วยความที่ยังเป็นเด็ก คุณยายจึงมาช่วยดูแล กำกับการล้างจานของดิฉันบ่อยๆ วันไหนคุณยายมาอยู่เป็นเพื่อนดิฉันก็จะสบายใจเป็นพิเศษ แต่ก็กดดัน เพราะต้องล้างซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าจะสะอาดผ่านมาตรฐานของคุณยาย แต่คุณยายก็จะกลับเข้าบ้านไปก่อนทุกครั้ง ทั้งที่ดิฉันยังล้างจานไม่เสร็จเรียบร้อย เวลาผ่านไปจากเด็กอนุบาลอายุ 5 ขวบ กลายเป็นเด็กประถม เมื่อเข้าชั้น ป.1 คุณยายก็เลิกมากำกับดูแลการล้างจาน และการทำงานบ้านต่างๆของดิฉัน  ดิฉันเกลียดการล้างจานมาก เพราะจำนวนจานของบ้านเราเยอะมากๆ และต้องมายืนล้างจานนอกบ้านคนเดียวมืดๆ ในขณะที่ผู้ใหญ่ดูทีวีอยู่ในบ้านสว่างๆ เป็นอะไรที่ทรมาณใจที่สุด นอกจากนั้นยังโดนด่าว่าล้างจานไม่สะอาดเป็นประจำ ทั้งๆที่ก็ตั้งใจล้างที่สุดแล้ว งานล้างจานจึงเป็นไม้เบื่อไม้เมา เป็นคู่ปรับตลอดการของดิฉัน จนถึงปัจจุบันนี้

Advertisement

Advertisement

และแล้ววันร้าย คืนร้ายก็มาถึง... วันนี้แปลกจริงๆ จานชามไม่เยอะมาก ดิฉันล้างจานเสร็จเร็วกว่าปกติ จึงมีเวลามานั่งชิงช้า นั่งชมพระจันทร์เล่นก่อนกลับเข้าบ้านไปอาบน้ำ ดิฉันไกวชิงช้าเหล็กทั้งตั้งอยู่ข้างโรงจอดรถช้าๆ อย่างอารมณ์ดี วันนี้เงียบดีจัง ดวงจันทร์สว่างมาก ต้นไม้ไหวไปมา แต่ไม่ยักมีเสียงใบไม้กระทบกัน ดิฉันละสายตาจากแนวต้นไม้ที่ตัดขอบกับท้องฟ้า ลงมาที่อ่างล้างจาน "เฮ้อ...." ดิฉันถอนหายใจ ด้วยความเบื่อเซ็ง แต่พลันสายตาก็มาสะดุดที่ผ้าสีขาวผืนโตข้างหน้าต้นมะพร้าว ที่อยู่ตรงอ่างล้างจาน ที่ดิฉันเพิ่งเสร็จภาระกิจการล้างจานเมื่อครู่

"ผ้าอะไร? ผ้าขี้ริ้วเหรอ? ทำไมผืนใหญ่จัง? เมื่อกี้ไม่ได้สังเกตเลย...." ดิฉันเพ่งมองด้วยความสงสัย  ผ้าสีขาวผืนนั้นเหมือนถูกนำมาคลุม ห่อหุ่มกายมนุษย์จากไหล่ลงมาถึงพื้น ผ้าผืนนั้นไม่ได้ดูสะอาดเหมือนผ้าใหม่ แต่ก็ไม่ได้ขาดริ้วมอมแมม เหมือนผ้าขี้ริ้วที่เราใช้ในบ้านที่มีขนาดเท้าผ้าเช็ดหน้าเท่านั้น เมื่อพินิจพิจารณาดีๆ ก็พบว่า เหนือผ้าผืนนั้นมีศรีษะอันดำมืดตั้งอยู่ คล้ายกับหลุมดำที่ไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆ จะหลุดรอดออกมาได้ ผมยาวของเขานั้นแผ่กระจายออกคล้ายทรงฟาร่า ร่างนั้นยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าต้นมะพร้าวที่แสงจากหลอดไฟยังส่องให้เห็นสีสันและลำต้น ผิดกับใบหน้าของเขาหรือเธอ ที่ไม่มีแสงใดๆสะท้อนรูปลักษณ์ของเจ้าของใบหน้าออกมา แม้ใบหน้านั้นจะไม่ปรากฏดวงตา แต่ดิฉันก็รู้สึกได้ว่า เขาหรือเธอกำลังมองจ้องตาดิฉันอยู่อย่างไม่ลดละ

"หือ.....ผีเหรอ?.....เราเจอผีเหรอ...." ดิฉันยังคงแกว่งไกวชิงช้า ดวงตายังคงจ้องมองที่ผ้าผืนนั้น

"ไหนเขาว่าเจอผีต้องมีหมาหอนไง....ไม่เห็นหอนเลย" ที่บ้านของดิฉันเลี้ยงหมาไว้นับสิบตัว ไหนจะหมาของเพื่อนบ้านอีก ไม่มีตัวไหนเห่าหอนเลย แต่ที่น่าแปลกใจคือปกติหมาที่บ้านจะมานั่งนอนเล่นข้างๆดิฉันเสมอ ในวันนั้นไม่มีหมาสักตัวมาอยู่ข้างๆ แถมบรรยากาศก็เงียบผิดปกติ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงลม เสียงใบไม้ไหว และ...ชิงช้าเหล็กที่ปกติมีเสียงแกร๊ง...แกร๊ง...ทุกครั้งที่แกว่งไกว ก็เงียบเสียงเหมือนชิงช้าใหม่ซะดื้อๆ

"ไหนเขาว่าเจอผีแล้วจะกลัว  ต้องหนาว ขนลุก ก้าวขาไม่ออกไง เราก็ขยับได้ปกติหนิ ไม่ใช่ผีหรอก" ดิฉันเริ่มตั้งข้อสังเกต ครั้นจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆก็ใจกล้าไม่พอ ดิฉันเพ่งมองอย่างพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ผ้าผืนนี้ไม่ใช่ผ้าขี้ริ้วแน่ๆ "เราเจอผีมั้ง" แล้วจะทำยังไงต่อ จะตะโกนให้คนในบ้านออกมาช่วยกันพิสูจน์ก็คงไม่มีใครได้ยิน เพราะดูทีวีกันอยู่ เอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยมาดูว่าที่ตรงนี้มีอะไรก็แล้วกัน  แล้วถ้าเราลุกขึ้นเดินเข้าบ้าน เขาจะตามเรามาไม๊ ในหัวของดิฉันในวัยเด็กเต็มไปด้วยคำถาม เพราะการเจอผีครั้งแรกดันไม่เหมือนกับสิ่งที่เด็กน้อยพบเจอในละคร แล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่าไม่ได้ตาฝาดไปเอง และไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาตรงหน้าอย่างไร จะออกจากสถานการณ์นี้อย่างไร เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ตรงตามตำราซักอย่าง ความกลัวไม่ได้เกิดขึ้นจากภาพของสิ่งที่เห็น แต่เกิดเพราะความไม่รู้.... ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และกลัวว่าสิ่งที่ไม่ดีจะเกิดขึ้น พูดง่ายๆคือ ผีก็อยู่ตรงนั้น แต่ตัวเรานี้แหละคิดไปต่างๆ นานๆ "ถ้าเราวิ่งเข้าบ้านผีก็จะรู้ว่าเราเห็นผี แล้วเรากลัวสิ เราต้องทำตัวปกติ  ฮึบ!" ดิฉันรวบรวมความกล้า หยุดชิงช้า แล้วลุกขึ้นเดินเข้าบ้าน พยายามรักษาความเร็วและท่าเดินให้ดูปกติที่สุด ระยะทางจากชิงช้าเข้าตัวบ้านไม่ได้ไกลมาก แต่ทรมาณใจมาก ช่วงเวลาที่กลัวที่สุด คือช่วงเวลาที่ต้องละสายตาจากสิ่งที่จ้องมองไป กลัวว่าเขาจะเคลื่อนย้ายไปอยู่ในที่ ที่ใกล้เรามากกว่าเดิม

ดิฉันเดินเข้าบ้านด้วยความสวัสดิภาพ และรีบรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แม่ฟัง แม่แนะนำสั้นๆ แต่ได้ใจความ "เหรอ...คราวหน้าก็ถามเลยสิว่ามาทำไม"

แน่นอนว่าในตอนเช้าดิฉันออกไปเช็คดูที่ต้นมะพร้าวต้นนั้น และเช็คผ้าขี้ริ้วผืนที่สีเคยขาวที่เราใช้เช็ดโต๊ะกินข้าวกัน ณ ต้นมะพร้าวต้นนั้นไม่มีอะไรแขวนอยู่ ผ้าขี้ริ้วผืนนั้นก็มอมแมมและผืนเล็กเกินกว่าจะห่อคลุมร่างใดได้ ฉะนั้นแล้วการต้องไปล้างจานที่ตรงนั้นมืดๆอีก คือสิ่งที่ดิฉันไม่ต้องการ คุณยาย หรือแม่ จึงต้องผลัดกันมาอยู่เป็นเพื่อนดิฉัน ขณะดิฉันล้างจาน หรือล้างจานเฉพาะตอนที่เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนเท่านั้น ไม่ล้างตอนกลางคืนอีก จนกระทั่ง....ดิฉันหายหวาดกลัว และสามารถกลับมาล้างจานตอนกลางคืนได้เหมือนเดิม แต่สิ่งที่ติดค้างมาจนทุกวันนี้คือ ดิฉันเกลียดการล้างจาน

แต่.....ถ้าคุณคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว โล่งใจได้แล้ว เปล่าค่ะ.......  ดิฉันได้เจอเธออีก ติดตามอ่านเรื่องราวการปรากฏตัวของเธอและเรื่องราวชวนสยองที่เกิดขึ้น ณ ต้นมะพร้าวต้นนั้นได้ต่อในตอนที่สองนะคะ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์