เวลา 18 นาฬิกา ยืนตรงเคารพธงชาติเสร็จ ไอควันขาวก็ถูกปล่อยออกมาจากเครื่องพ่นควัน กระทบกับแสงสีที่รายรอบไปทั่วพื้นที่ พิธีกรยืนบนเวทีพูดคุยกันอยู่สองคน ผ่านเครื่องขยายเสียง เสียงเพลงแอโรบิคเริ่มดังขึ้น พิธีเปิดเริ่มแล้ว เหล่าผู้อวุโสแห่งจังหวัดกล่าวเปิดงาน และในที่สุดคำที่เราทุกคนรอคอยก็มาถึง ปล่อยตัวนักกีฬา 5...4....3...2..1 เสียงนกหวีดดังขึ้นแจ้งเตือนทับซ้อนอีกรอบ แล้วขบวนนักวิ่งในเสื้อสีเหลือง ก็ค่อย ๆ เขยื้อน ตัวผมที่อยู่หางแถวค่อย ๆ ก้าวไปตามฝูงชน กิโลที่ 1 เส้นทางในจุด Start นั้นทำได้แค่เดินช้า ๆ สลับเร็วขึ้นเล็กน้อยไปตามกาลของฝูงชน คอยมองข้างหน้าเราว่าพวกเขาจะเริ่มเร่งสปีดขึ้นเมื่อใด ผมเดินมาพร้อมกับเพื่อนของผมอีกสองคน เขาเริ่มที่จะพาผมแซกตัววิ่งแซงหน้าฝูงชนที่แออัดเรื่อย ๆ เพื่อจะไปโผล่ในจุดที่หายใจสะดวกขึ้น ที่ผมสงสัยก็คือพวกเขานั้น วิ่งเต็มสปีดตั้งแต่เริ่มเกมเชียวหรือ ผมด้วยความมือใหม่ไม่เคยลงมาราธอนมาก่อน จึงได้แต่วิ่งคิด “นี่หรือมาราธอน” แม้ใจจะอยากวิ่งไปพร้อมเพื่อน แต่ด้วยเราเองยังวิ่งมาได้ไม่นานนัก ไม่นานเท่าสองคนนี้ การวิ่งเต็มอัตราตั้งแต่แรกเริ่ม มันทำให้ตัวผมเริ่มที่จะเกิดอาการ “จุก” ผมจึงเลือกที่จะใส่หูฟังเปิดเพลย์ลิสต์ เปียโนแล้วค่อย ๆ พาตัวเองไปทีละก้าวดีกว่า ขอแค่ไม่หยุดเดิน วิ่งต่อจนจบเกมได้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไร แค่เป็นตัวของตัวเองที่สุดก็พอ พอแล้วกับการวิ่งไล่ตามคนอื่น แล้วหันมามองเงาของตัวเองที่ทอดยาวออกไป ค่อย ๆ... ที่จะวิ่งไปดีกว่าเนอะ ตัวเรา กิโลที่ 2 เราคลาดกันแล้ว ผมวิ่งอยู่คนเดียวท่ามกลางฝูงชน แต่ถ้าจะให้มองให้ลึกลงไป ผมเปล่าเลยที่วิ่งคนเดียว ผมวิ่งกับทุกคน ที่ใส่เสื้อสีเดียวกันอยู่นี้ไง เราต่างมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่เดียวกัน แต่หากจะต่างก็ตรงที่ ปลายทางของแต่ละคนนั้น มีความพองโตของหัวใจมากกว่ากันแค่ไหน บางคนเจ็บป่วยอยู่แล้ว แต่เพื่อพิชิตความสำเร็จบางอย่างในชีวิต ก็ขอที่จะได้ก้าวลงไป และเมื่อถึงปลายทางตามฝัน หัวใจและปอดเขาก็คงจะพองโตน่าดูทีเดียว และสำหรับใครบางคนที่ใช้ชีวิตเหลวเปลวดั่งเช่นผม ที่พึ่งจะมาออกกำลังกายจริงจึงขึ้น 8 เปอเซนต์ 7.5 กิโล มันชั่งยาวไกล กิโลที่ 4 อย่างที่กล่าวไป ผมไม่เคยลงมาราธอนเลย แม้นี้จะเป็นมินิก็ตาม แต่ก็เป็นครั้งแรก และการวิ่งเต็มสปีดแต่แรกตามเพื่อนผมนั้น เรียกได้ว่า ทำร้ายตัวเองเป็นอย่างบ้าคลั่งเลยทีเดียว เสียงในหัวมันดังขึ้นมาเป็นสองฝ่าย ฝ่ายซ้ายบอกให้วิ่งต่อ ฝ่ายขวาบอกให้หยุดแค่ตรงนี้ ไปให้ถึงจุดรับน้ำแล้วบอกว่าขอถอนตัวกลางคัน อ้างเป็นโรคสารพัดแล้วให้เขานำตัวส่งซะสิ แต่ฝ่ายซ้ายเองก็บอกว่าอย่า อย่าเด็ดขาด วิ่งต่อไป วิ่งต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไร ขาทั้งสองเริ่มล้า เจ็บปวด มันเจ็บ แบบที่ มูราคามิบอก การวิ่งนั้นเจ็บปวดอยู่แล้ว อยู่ที่ตัวนักวิ่งว่าจะสามารถทานรับมันได้หรือไม่ ผมพร่ำบอกตัวเองทุกครั้ง ทุกครั้งที่รู้สึกอยากยอมแพ้แค่ตรงนี้ แม้กระทั่งการซักซ้อมก่อนมาวิ่งจริงของผมเองก็ใช่ ผมยอมแพ้ตั้งแต่ซักซ้อมด้วยซ้ำไป บ้างก็ว่าค่ำไปวิ่งไม่ได้ บ้างก็ว่าเหนื่อย บ้างก็ว่าไว้วันหลัง ข้ออ้างสารพัดประโยชน์ที่ทำให้ผมได้นิ่งเฉย ๆ แต่ดูหลาย ๆ คนแล้ว เขาไม่เห็นยอมแพ้เลยซักนิดเดียว และการที่พวกเขาไม่ยอมแพ้ พวกเขาจึงไปได้ไกล ไกลยิ่งขึ้นไปอีก นิ้วกลมเอย พี่ตูนเอย มูราคามิเอย และหลายต่อหลายคน ผมนั้นแค่เริ่มต้นเอง ผมคิดได้ดังนี้ระหว่างกำลังจะหยุดก้าวลง แล้วด้านหน้าของผม ก็มีชายหนุ่มวัยไรเรี่ยกันกับผมสองคน คนซ้ายท่าทางเหนื่อยหอบรุนแรง คนขวาจึงใช้มือแตะไหล่เขาพยายามให้กำลังใจ แต่ก็ถามด้วยความเป็นห่วงว่าจะหยุดลงมั้ย คนซ้ายเขาส่ายหน้าแล้วยังคงวิ่งต่อไป... อ่า... ใครบางคนเองก็เหมือนกับเราตอนนี้ อยากจะหยุดลงแค่ไหน แต่ใจก็ไม่หยุด ต้องไปต่อสิ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมแซงพวกเขาทั้งสองไป แล้วเริ่มคงสปีดของตัวเองไปเรื่อย ๆ เพลย์ลิสต์เพลงของ Yiruma river in the flow บรรเลงขึ้น กิโลที่ 6 หว่างทางนั้น ณ จุดรับน้ำ และจุดโค้งตามทางต่าง ๆ จะมีคนคอยเชียร์เหล่านักกีฬาตลอดทาง เพื่อไม่ให้ใครบางคนที่มีเสียงฝั่งขวาในหัวดังขึ้นกลบมิดจนฝั่งซ้ายตะโกนเท่าไรก็ไม่ได้ยิน จึงมีคนที่อยู่ข้างทาง แปลกหน้าจากที่ไหนไม่รู้ มาช่วยตะโกนพลักดันให้เราก้าวต่อไป ตลอดทางมานี้ผมรู้สึกผิดอยู่อย่างนึง คือการวิ่งอ้อมเมืองแบบนี้ มันคือมหกาพย์รถติดเชียว ผมขอโทษในใจตลอดการวิ่งผ่านเส้นที่ตำรวจเขาปิดทาง แล้วมีรถราไม่น้อยจอดอยู่ ผมวิ่งผ่านพลางพนมมือขึ้นเล็กน้อยก่อนจะรีบวิ่งไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อจะไม่ให้มันติดไปมากกว่านี้ ผมจึงคิดได้ว่า หรือบางทีการที่เพื่อนของผมวิ่งเต็มตั้งแต่เริ่ม เพราะต้องการจะได้จบเร็ว ๆ จะได้ไม่กวนจราจรไปมากกว่านี้ ผมจึงเริ่มก้าวแรงขึ้นไปอีกขั้น แม้จะเริ่มไม่ไหวแล้วก็ตาม กิโลที่ 6.5 วิ่งมาตามทางก็ได้เจอกับครูเอนก ซึ่งเอกลักษณ์ของแกจะเด่นชัดมาก “ครูที่กล้ามใหญ่ ๆ อะ” แค่นั้นเราก็ตามหาตัวเขาได้ไม่ยากภายในวิลัยอาชีวอุดรธานี และก็บังเอิญที่เจอกันหน้าวิลัยอีกด้วย "เดี๋ยวบอลรอก่อน รอครูอิ๋วแปปนึง เดี๋ยวถ่ายรูปหน้าป้ายวิลัยด้วยกัน แล้วค่อยวิ่งต่อ เข้าเส้นชัยพร้อมกัน" "เหหหหหหหหหห" ผมก่นร้องในใจ ถึงผมจะเริ่มวิ่งได้ไม่นาน แต่ก็อยากจะทำเวลาให้ดีที่สุดนี่ แต่ครูบอกให้รองั้นรอก็ได้ครับ... เราถ่ายรูปกันหน้าป้ายวิลัยของตัวเอง ไม่แน่ใจว่าเพื่ออันใดหรือ แล้วก็เริ่มวิ่งต่อ แต่ครูอิ๋วนั้นวิ่งได้ไม่นานก็ขอเดินเสียแล้ว ครูเอนก พูดแซวเล่นไปตลอดการเดิน รับรู้ได้ว่าทั้งคู่จีบกันอยู่อย่างแน่นอน กิโลที่ 7 จะสิ้นสุดที่ 7.5 อีกเพียง 500 เมตร " เดินได้ไม่นานก็วิ่งต่อให้ถึงเส้นชัยไปเลยเถอะ เพราะอีกนิดเดียวเองนะครับ ฮัลโหล " ผมบอกครูอิ๋ว แต่บอกในใจนะ เส้นทางโค้งสุดท้ายมีคนเชียร์อยู่ ระหว่างที่เรากำลังวิ่งไป ครูเอนกดันตัวผมเพื่อจะได้พลักตัวเองเข้ามาเลนผมได้ แล้ววิ่งไปหาเหล่านักเชียร์ที่ร้องช่วยกันดัง ๆ ว่า” สู้ ๆ นะคะ “ สู้สุดใจเลยค้าบบบบ ครูเอนกพูดเสียงสองตอบกลับไป พลางเบ่งกล้ามทั้งสองข้างโชร์พาวเวอร์ ผมที่วิ่งมองจากด้านหลังแทบจะสะดุดตีนตัวเอง ไม่อยากเชื่อสายตาเจ้าของ เป็นอาการขำที่ขนลุกไปในตัว ร่ำร้องในจิตใจว่า "ทำอะร๊ายยยยยยยยยย" แต่ก็ควรชินได้แล้วมั้ง อยู่กันมาตั้ง 3 ปี 7.5กิโลเมตร สิ้นสุด มินิ มาราธอน จบกันแล้วกับมินิมาราธอน ความเหนื่อยแทบจะหายไปเมื่อมายืนอยู่จุด Finnish ใช่อย่างที่มูราคามิว่านั้นแหละ มันอยู่ที่นักวิ่งต่างหากที่จะทานรับความเจ็บได้หรือไม่ และถ้าหากเรายังคงทานรับมันต่อไปสิ่งที่ได้กลับมาก็ไม่ใช่สิ่งใดหรอก ความภูมิใจ ที่ทำมันได้ ทำมันได้ซักทีนะเรา ผมได้เห็นแต่รอยยิ้มของทุกคนที่มาวิ่งในครั้งนี้ทั้งนั้น นี้คือความสุขอย่างนึงก็ว่าได้แหละนะ และก้าวเล็ก ๆ ครั้งนี้ ครั้งแรก ครั้งดี ของผม มันจะไม่ใช่ก้าวแรก ก้าวเดียวอย่างแน่นอน ผมเชื่อว่า มันจะก้าวต่อไป และต่อ ๆ ไป ตามไอดอลของผม พี่ตูนเอย นิ้วกลมเอย มูราคามิเอย เราถ่ายรูปเก็บไว้กันเป็นที่ระลึกก่อนจะแยกย้าย และรับรู้ได้ว่า โอกาสนั้นมาถึงเมื่อไร เราคงได้มาบรรจบกันอีกครั้ง บนถนน ของการวิ่งเส้นนี้ ระหว่างนี้ ก็ไปหยิบน้ำ แซนวิชไส้พริกเผาหมูหยอง กล้วยน้ำว้า และขนมมากินเถอะ เพราะมันแจกฟรี