ภาพปกโดยผู้เขียนผู้มีประสบการณ์หลายท่านกล่าวไว้ตรงกันว่า “การเรียนจบสูงแค่ไหนนั้นไม่สำคัญเท่ากับการมีประสบการณ์” ซึ่งคำกล่าวนั้นมีเหตุผลหรือไม่? เพียงใด? อย่างไรก็ตาม David Niven ได้บอกแก่เราว่า จงแสวงหาประสบการณ์เท่าที่คุณสามารถทำได้ ในเคล็ดลับที่ 17 จาก 100 เคล็ดลับยกระดับความสำเร็จ ซึ่งจะมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันอย่างไร เชิญติดตามเลยครับ“จงเสาะแสวงหาโอกาสที่จะนําพาคุณไปสู่สายงานที่คุณวาดฝันเอาไว้” David Niven ได้เริ่มต้นการกล่าวถึงเคล็ดลับนี้ พร้อมทั้งกล่าวต่อว่า “ถึงแม้ว่าตัวอาชีพที่คุณกําลังทำอยู่จะไม่ใช่สิ่งที่คุณปรารถนา แต่คุณก็จะได้แนวคิดว่าสายงานนั้น ๆ จะนํามาซึ่งสิ่งใด และคุณก็จะสามารถเตรียมตนเองให้พร้อมสำหรับอาชีพที่คุณปรารถนาอย่างแท้จริงได้ ในทางกลับกันคุณอาจจะค้นพบว่า งานที่คุณปรารถนานั้นไม่ใช่งานที่เหมาะสมกับคุณและแผนในอนาคตของคุณ ดังนั้น จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง”ขอบคุณภาพจาก Skyclick ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนFred Marcos Chi (เฟร็ด มาร์ช็อค ชิ) เติบโตมาพร้อมกับแนวคิดที่ว่าตนต้องการที่จะวาดภาพเพื่อหาเลี้ยงชีพ เขากล่าวว่า “แนวทางที่จะหาเลี้ยงชีพโดยใช้สมุดเขียนภาพนั้นมีไม่มากเท่าไรนัก แต่การโฆษณาก็นับเป็นหนึ่งในวิธีเหล่านั้น”อย่างไรก็ตาม Fred ไม่สามารถเป็นจิตรกรให้กับงานโฆษณาที่เขาฝันเอาไว้ได้อย่างรวดเร็วและในเวลาอันสั้นเท่าไรนัก แต่กระนั้น เขาก็ยังปรารถนาอยากจะมีประสบการณ์ทางด้านนี้อยู่ ดังนั้น เขาจึงติดต่อขอเข้าร่วมงานกับเครือข่ายเภสัชกรรมแห่งหนึ่ง ซึ่งมีแผนกโฆษณาเป็นของตัวเองอยู่ภายในองค์กร โดย Fred ได้ยื่นข้อเสนอว่าจะขอทำงานโดยไม่ขอค่าตอบแทนใด ๆ ผ่านไปไม่นาน เมื่อบริษัทรับเขาเข้าทำงาน และภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ Fred ก็ได้รับประสบการณ์แบบมืออาชีพ อีกทั้งบริษัทยังจ่ายค่าตอบแทนให้แก่เขาอีกด้วยหลังจากที่เขาทำงานให้กับบริษัทโฆษณาหลายแห่ง ท้ายที่สุด Fred ก็ได้ลาออกมาเปิดบริษัทกราฟิกดีไซน์และธุรกิจการถ่ายภาพของตัวเอง ซึ่งเขามักจะมองย้อนกลับไปถึงเมื่อครั้งที่เขาเสนอตัวทำงานโดยไม่รับค่าตอบแทนใด ๆ ว่า “ผมเพียงต้องการโอกาสและจุดเริ่มต้นในงานด้านนี้ หลังจากวันนั้นมา ผมก็ไม่เคยทำงานฟรี ๆ อีกเลย” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มขอบคุณภาพจาก Skyclick ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนอันนี้ต้องโน้ต15 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่มีโอกาสได้ฝึกงานในขณะเรียนนั้น มีแนวโน้มที่จะมีงานทำภายหลังจากที่สำเร็จการศึกษาแล้ว และ 70 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่านักศึกษาที่ผ่านการฝึกงานเหล่านี้จะมีการเตรียมตัวสำหรับเข้าทำงานได้ดีกว่า ซึ่งข้อได้เปรียบนี้เป็นผลมาจากประสบการณ์ที่ได้จากการฝึกงานคุยกันหลังอ่านเสร็จพออ่านเสร็จทำให้ผมมีประเด็นที่จะต้องอภิปรายด้วยกัน 2 ประเด็น โดยประเด็นแรกคือการเรียนจบสูงแค่ไหนนั้นไม่สำคัญเท่ากับการมีประสบการณ์ ซึ่งเป็นคำถามที่ผมได้ตั้งไว้ตั้งแต่ตอนเกริ่นก่อนจะเข้าเนื้อหา และประเด็นที่สองเป็นผลการวิจัยที่ David Niven ยกมาอ้างอิงสำหรับคำถามตามประเด็นแรก ผมอยากชวนคุยต่อถึงความเป็นเหตุเป็นผล นี่!!! เราเชื่อจริง ๆ หรือครับว่าการศึกษาไม่มีความสำคัญเท่ากับประสบการณ์? แม้ว่าคุณจะไม่เชื่อเช่นนั้นก็ตาม แต่หากว่ากันตามตรงแล้ว ในสังคมออนไลน์ผมกลับเห็นว่าความคิดส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะเชื่อเช่นนั้นนะ ซึ่งที่ชัดเจนจะเห็นจากคนมักจะออกมาตั้งคำถามประมาณว่า “ใบปริญญาในยุคนี้ยังสำคัญหรือไม่?” ไปจนถึงการที่ภาครัฐสนับสนุนให้คนเรียนในสายอาชีพมากกว่าจะเรียนสายสามัญ มากไปกว่านั้น เมื่อมีเหตุการณ์ที่เป็นเหตุพิพาทในสังคม ทุกคนต่างจับจ้องว่าคู่กรณีมีใครที่เรียนจบปริญญาบ้าง จากนั้นก็พากันวิจารณ์อย่างสาดเสียเทเสีย เหมือนกับว่าคนที่ไม่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาจะเป็นผู้มีความสุขในชีวิต หรือประสบความสำเร็จทั้งด้านการงาน การเงิน ความรัก และสุขภาพ มากยิ่งไปกว่าคนที่จบปริญญา และทึกทักเอาเองว่าคนเรียนจบมักจะไม่มีประสบการณ์ ในขณะที่ตนไม่ได้เรียนนั้นมีประสบการณ์ที่เหลือล้นเพราะได้ทำงานมาก่อน ไร้สาระสิ้นดี!!!ขอบคุณภาพจาก Skyclick ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนนำมาซึ่งประเด็นที่สอง ผมคงไม่กล้าไปกล่าวอ้างถึงใคร ดังนั้น ขอกล่าวถึงตัวเองนี่แหละ เราจะเห็นแล้วว่าผลการศึกษาที่ David Niven ยกมาอ้างอิงนั้น บอกว่า คนที่ฝึกงานระหว่างเรียนมีโอกาสได้งานมากกว่าคนที่ไม่ฝึกงานถึง 15 เปอร์เซ็นต์ และเชื่อว่าตนทำงานได้ดีกว่าถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ว่ากันตามตรง ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้รับการฝึกงานระหว่างเรียน ซึ่งนัยนี้เองผมจึงเสียโอกาสในการได้งานถึง 15 เปอร์เซ็นต์ และไม่มีความมั่นใจว่าตนจะทำงานได้ดีถึง 70 เปอร์เซ็นต์ เอาอย่างงี้เลยเหรอ? แต่ความจริงคือ ผมเรียนจบปริญญาตรีโดยใช้ระยะเวลาเพียง 3 ปี โดยไม่ได้เรียนซัมเมอร์ของปีที่ 3 ขณะที่คนอื่นเขาฝึกงาน บางคนไปจบที่ 3 ปีครึ่ง ส่วนบางคนจบที่ 4 ปีพอดี ดังนั้น นัยนี้ผมจะมองอย่างเข้าข้างตัวเองได้หรือไม่ว่า ผมมีโอกาสทำงานและฝึกฝนจากการทำงาน ซึ่งเป็นงานจริง ๆ ได้เร็วกว่าคนอื่นถึง 1 ปี มากไปกว่านั้น ผมยังพบอีกว่า พอผมทำงานเข้าปีที่ 2 เพื่อนร่วมรุ่นบางคนก็ยังไม่จบอีก ดังนี้แล้ว ผลการศึกษาที่ David Niven อ้างอิงมันจึงใช้ไม่ได้กับกรณีของผม แต่อาจใช้ได้มันกรณีของบางคนหรือหลายคนขอบคุณภาพจาก Skyclick ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนกล่าวโดยสรุป ประเด็นแรกผมเห็นว่ามันไม่เกี่ยวดอกครับว่าคุณจะเรียนจบหรือไม่จบ ในที่นี้หมายถึงจบปริญญาตรี และไม่สำคัญด้วยเช่นกันว่าคุณจะเคยมีประสบการณ์ที่โชกโชนผ่านกี่สนามรบมามากเพียงใดแล้วก็ตาม นั่นก็เพราะปัจจัยแวดล้อมทั้งหลายแหล่ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี รวมไปถึงเสรีภาพและความเท่าเทียมในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร (ที่ไม่ใช่นัยทางการเมืองนะครับ) และความสามารถในการใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้น ซึ่งส่วนตัวแล้วผมเห็นว่าคนที่ยอมรับในความอ่อนด้อยของตนเองและยอมปรับปรุงตนเองต่างหากที่จะเป็นผู้อยู่รอดในทศวรรษนี้ เช่นเดียวกัน ในประเด็นที่สอง หากคุณไม่เคยผ่านการฝึกงานมาเลย โดยเฉพาะคนที่เพิ่งจบใหม่ ผมอยากจะบอกว่า คุณไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจหรือด้อยค่าในตนเองอะไรมากมายหรอกครับ!!! เพราะทุกอย่างมันสามารถเริ่มเรียนรู้กันได้อย่างซ้ำไปซ้ำมาและไม่มีสิ้นสุด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็น่าจะเป็นดังที่ Nevin บอกนั้นแหละว่า “จงแสวงหาประสบการณ์เท่าที่คุณสามารถทำได้” มากไปกว่านั้น Robin Sharma ยังกล่าวถึงสภาวะเช่นนี้ไว้ว่า “สภาวการณ์ยิ่งท้าทายมากเท่าไหร่ โอกาสก็ยิ่งวิเศษมากขึ้นเท่านั้น”ขอบคุณภาพจาก Skyclick ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนติดตามผลงานอื่นPodcast 100 เคล็ดลับยกระดับความสำเร็จ โดย David NivenMy Inspire StoryCreditชื่อหนังสือ: 100 เคล็ดลับยกระดับความสำเร็จผู้เขียน: David Nivenผู้แปล: อิศรา ราชตราชูชื่อเรื่องต้นฉบับ: 100 Simple Secrets of Successful Peopleสำนักพิมพ์ต้นฉบับ: Harper Collins