ปัจจุบันกระแสของการรณรงค์สุขภาพปลอดสารพิษเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก ด้วยวิถีชีวิตของคนเราในปัจจุบันเต็มไปด้วยสารพิษที่ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น มะเร็ง หรือโรคอื่น ๆ ส่งผลเสียต่อสุขภาพ กลายเป็นอาหารที่ไม่ได้ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง แต่ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง ด้วยเหตุนี้การใช้ปุ๋ยเคมี ยากำจัดวัชพืช ล้วนเป็นสิ่งที่สังคมปฏิเสธ เกษตรกรหลายคนจึงหันกลับมาสู่วิถีดั้งเดิมของการเพาะปลูก โดยเฉพาะผืนนาของชาวบ้าน ที่ตอนนี้หลายคนเริ่มหันมาใช้ปุ๋ยคอก เพื่อช่วยให้พืชเจริญงอกงามมากยิ่งขึ้นภาพถ่ายโดย ภาณุพงศ์ ธงศรีปุ๋ยคอก เป็นคำนิยามที่มีคนนิยามแตกต่างกันออกไปหลายอย่าง แต่ผมขอนิยามก็คือ ปุ๋ยที่มาจากมูลสัตว์ผสมแกลบ ใบไม้ เป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่ไม่ได้ทำให้เกิดสารพิษ หรือทำลายสุขภาพ พร้อมทั้งยังลดค่าใช้จ่ายนการประกอบอาชีพเกษตรกรรมอีกด้วย ในชุมชนของผม หลายคนเลี้ยงวัว ดังนั้นปุ๋ยคอกจึงแทบจะไม่ต้องซื้อ เพราะชาวบ้านมีวัวที่เลี้ยงไว้ในคอก ในช่วงเช้าก็เอาวัวไปเลี้ยงในบริเวณทุ่ง เมื่อวัวกินหญ้าจนอิ่มก็ถ่ายออกมาใส่ทุ่งนา เป็นวัฏจักรโดยทั่วไปตามธรรมชาติ ทั้งนี้เมื่อเอาวัวกลับบ้านเข้าคอก ที่คอกวัวก็มี “มูลวัว” ที่สามารถนำไปใส่ท้องนาได้ภาพถ่ายโดย ภาณุพงศ์ ธงศรีนอกจากนี้ชาวบ้านที่เลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ด เลี้ยงหมู ก็ไม่ต้องไปซื้อปุ๋ยเคมีมาบำรุง เพราะมูลของสัตว์เหล่านี้ชาวบ้านจะผสมกับเศษใบไม้ ฟางข้าว ของเหลือทิ้งหรือขยะจากบ้าน ผสมกับจุลินทรีย์แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นก็พักไว้เหมาะสำหรับการนำไปลงพื้นที่นา ด้วยปุ๋ยคอกก็มีสารอาหารครบ มีไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม โดยปกติชาวบ้านก็จะใส่ประมาณ 1,000 - 2,000 กิโลกรัมต่อไร่ โดยจะทำเป็นกอง ๆ (ตามภาพ) จากนั้นจึงใช้คราดกระจายมูลที่เป็นกองนั้นให้ทั่วผืนนา ทั้งนี้เป็นเรื่องของความเข้มข้นด้วยนะครับ ถ้าเป็นมูลไก่จะค่อนข้างเห็นผลเร็ว แต่ถ้ามูลวัวจะเห็นผลในเรื่องของการปรับสภาพดินเหมาะต่อการปักดำภาพถ่ายโดย ภาณุพงศ์ ธงศรีสำหรับคนที่ไม่เคยทำนา แล้วอยากทำนาแนวใหม่ไม่อาศัยสารเคมี ลองเอาแนวทางการใช้ปุ๋ยคอกไปปรับใช้นะครับ ในปีแรกอาจไม่เห็นผลเท่าไหร่ แต่ปีต่อ ๆ ไป เมื่อดินได้ปรับสภาพเรียบร้อยแล้ว รับรองเลยว่านาข้าวจะได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ที่สำคัญไม่ทำลายสุขภาพร่างกายของเราด้วยครับ ปลูกเอง กินเอง ดูแลสุขภาพด้วยตนเองครับภาพถ่ายหน้าปกโดย ภาณุพงศ์ ธงศรี