ป้ากับน้าบรรจงฉีกใบตองให้เท่ากัน แล้วค่อย ๆ ม้วนเป็นกรวย ทำแบบนี้ทีละชิ้น ๆ จนกว่าจะครบจำนวนก่อนนำมาประกอบรวมกันเป็นแพและต่อกันขึ้นเป็นชั้น ๆ มองแล้ว ๆ คล้ายพญานาคกำลังยกเศียร งดงามและอ่อนช้อยราวกับหางของนกยูงรำแพน การทำบายศรีนี้หาดูได้ยากแล้วในสังคมปัจจุบัน บ้านของผู้เขียนมีอาชีพหลักคือทำนา พอว่างจากทำนาจะทำไร่มันสำปะหลัง บางบ้านมีสวนยางก็ตัดเป็นกิจกรรมที่วน ๆ ซ้ำ ๆ สำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีอย่างป้ากับน้าของผู้เขียนนั้นอาชีพหลักคือใส่บาตรและเข้าวัดถวายภัตตาหาร เมื่อกลับจากวัดจะเป็นช่วงว่าง บางครั้งมีคนมาจ้างให้ทำบายศรีสู่ขวัญสำหรับงานแต่งงานก็พอมีงานให้ทำไม่เหงามือการทำบายศรีสู่ขวัญนั้นอยู่คู่กับชาวอีสานมาทุกยุคทุกสมัย พิธีสู่ขวัญหรือเรียกขวัญ ยังมีความสำคัญต่อคนอีสานอยู่มาก เพราะมีความเชื่อว่าพิธีนี้จะช่วยเพิ่มพลังใจ เพิ่มกำลังใจและเพิ่มความเป็นศิริมงคล ให้กับผู้ที่เริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ หรือเมื่อปฏิบัติภารกิจสำเร็จยกตัวอย่างเช่น สู่ขวัญเด็กแรกเกิด สู่ขวัญนาค งานแต่งงาน สู่ขวัญต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง สู่ขวัญก่อนไปศึกษาต่อ สู่ขวัญเมื่อสำเร็จการศึกษา หรือแม้แต่ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุจนเสียขวัญก็ต้องทำพิธีสู่ขวัญเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจกลับคืนมาบายศรีของป้ากับน้าวันนี้เป็นบายศรี 4 ชั้นสำหรับงานแต่งของคนในหมู่บ้านที่มาว่าจ้างให้ทำ น้าเตรียมตัดใบตองตั้งแต่เช้า พอกลับจากวัดก็ขะมักเขม้น ลงมือช่วยกันทำโดยมีหลานชายและหลานสาวเป็นลูกมือ ช่วยจัดตกแต่งด้วยความประณีตบรรจง จนสำเร็จเป็นบายศรีอันงดงาม หลังจากเสร็จในส่วนของงานใบตองแล้ว เราต้องจัดหาเครื่องไหว้ใส่ในบายศรีให้ด้วยมีข้าวต้มมัด และไข่ต้ม ส่วนข้าวของอื่น ๆ ทางเจ้าของงานจะจัดหามาใส่เอง ทั้งหมดนี้ได้รับค่าจ้างเพียง 600 บาทเท่านั้นเองนับว่าเป็นความโชคดีที่วัยรุ่นยุคใหม่อย่างหลานชายและหลานสาวของผู้เขียน ยังให้ความสนใจในการทำบายศรี พร้อมทั้งสืบสานวิธีการทำ อย่างน้อยก็สร้างความมั่นใจได้ว่า งานศิลปหัตถกรรมอันล้ำค่าของชาวอีสานนี้ จะสูญหายหรือถูกลบเลือนไปกับกาลเวลาเรื่องและภาพโดยบุหงาอันดามัน