ในขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของเชื้อไวรัสโคโรนา(COVID-19) ที่เป็นปัญหาในหลายประเทศทั่วโลก มีผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 2,182,197 ราย มีผู้เสียชีวิต 145,521 คน ในจำนวนนี้มีผู้รักษาหายแล้ว 547,295 ราย ประเทศไทยเองก็มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนส่วนใหญ่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ทั้งการเป็นอยู่ การดำรงชีวิตประจำวัน และการทำงาน ผลกระทบที่หนักที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องของเศรษฐกิจที่ตกต่ำ การกินการอยู่ถือเป็นเรื่องสำคัญของการดำเนินชีวิต ซึ่งผลกระทบของเศรษฐกิจที่ตกต่ำก็คือ “การตกงาน” ทำให้หลายอาชีพไม่สามารถทำมาหากินได้ เมื่อไม่มีงานทำหรือไม่สามารถทำงานได้ รายได้ก็ลดลงทุกวันแต่รายจ่ายกลับเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากต้องกักตุนอาหารและต้องหาซื้ออุปกรณ์ในการป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา(COVID-19) จึงอาจส่งผลไปถึงปัญหาสุขภาพจิต ทำให้เกิดความเครียดจากการวิตกกังวลหรือกลัวเชื้อไวรัสโคโรนา(COVID-19) นี้ รวมถึงเรื่องเงินที่อาจไม่พอใช้จ่ายเนื่องจากไม่มีงานทำและต้องรอความช่วยเหลือจากภาครัฐต่อไป สถานการณ์เชื้อไวรัสโคโรนา(COVID-19) ที่ระบาดในจังหวัดอุบลราชธานี ขณะนี้มียอดผู้ป่วยสะสมยังอยู่ที่ 15 ราย รักษาหายแล้ว 12 ราย กลับบ้านแล้ว 8 ราย พักฟื้นที่ศูนย์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี วิทยาเขตบ้านยางน้อย ตำบลก่อเอ้ อำเภอเขื่องใน 4 ราย รักษาต่อที่โรงพยาบาล 3 ราย แต่ไม่มีอาการรุนแรง และได้รับการรักษาตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข ล่าสุดทางโรงพยาบาลจังหวัดอุบลฯ รายงานว่าผู้ป่วยรายสุดท้ายรักษาหายเป็นปกติแล้ว และไม่พบผู้ป่วยที่มีอันตรายถึงชีวิต (ข้อมูล ณ วันที่ 7 เมษายน 2563 ) ซึ่งปัจจุบัน 19 เมษายน 2563 ผ่านมาแล้ว 12 วัน จังหวัดอุบลฯ ยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม อย่างไรก็ตามทางจังหวัดอุบลฯ ยังคงเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่ให้ชุมชนเมืองมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ รวมถึงการลดรายจ่ายให้กับชุมชนเมืองเรื่องการจัดซื้ออุปกรณ์ป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา(COVID-19) โครงการพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างสุขภาพจิตคนจนเมืองพื้นที่อุบลราชธานี โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก 9 ได้ลงพื้นที่ปรับแผนกิจกรรมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ซึ่งสรุปกิจกรรมของทั้ง 5 ชุมชนได้ 2 กิจกรรม ดังนี้ 1.ผลิตเจลแอลกอฮอล์ ได้แก่ ชุมชนวังแดง, ชุมชนวัดโรมันคาทอลิก และชุมชนเกตุแก้ว 2.ผลิต Mask ได้แก่ ชุมชนลับแล และชุมชนวังทอง อีกทั้งยังได้สำรวจเก็บข้อมูลสุขภาพจิตของชุมชนเมืองหลังจากวิกฤตน้ำท่วมหนักในจังหวัดอุบลฯ และต่อเนื่องมาถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา(COVID-19) นี้ด้วย จากการสำรวจพบว่า คนในชุมชนมีความกังวลในเรื่องนี้ ทั้งในมิติของการเฝ้าระวัง ข้อปฏิบัติหรือความรู้ที่ถูกต้องในการดูแลตนเอง ตลอดจนการดูแลเยียวยาของรัฐ และแนวทางฟื้นฟูความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ทางทีมโครงการฯ จึงได้ร่วมมือกับชุมชนเมืองในการเฝ้าระวังและช่วยกันดูแลป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสโคโรนา(COVID-19) ระบาดเพิ่มขึ้น โดยได้สนับสนุนวัสดุ อุปกรณ์ในการจัดทำสิ่งป้องกันเชื้อไวรัสและร่วมมือกับชุมชนผลิต Mask เพื่อแจกจ่ายให้กับคนในชุมชนและชุมชนเครือข่าย ซึ่งประโยชน์ของ Mask นอกจากจะช่วยป้องกันเชื้อโรคหรือเชื้อไวรัสแล้วยังช่วยป้องกันมลพิษจากสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย รวมทั้งเชื้อโรคจากผู้อื่นและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคไปยังผู้อื่นได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม Mask อาจไม่ได้ช่วยป้องกันเชื้อโรคได้ 100% แต่ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ถึง 80% ดังนั้น นอกเหนือจาก Mask แล้วทางทีมโครงการฯ จึงมีแนวทางในการลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด คือ การทำเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ติดอยู่บริเวณมือ นอกจากอุปกรณ์ในการป้องกันเชื้อไวรัสนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือความรู้หรือแนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้อง โดยทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ยังช่วยในการผลิตสื่อและชุดความรู้ที่ทางโครงการนำมาเผยแพร่และให้ความรู้แก่ชุมชนซึ่งเป็นแนวทางที่มีประโยชน์อย่างมากที่ให้แกนนำสามารถนำไปเผยแพร่และแนะนำแนวทางให้กับคนในชุมชนต่อไป ในวันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 และวันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2563 ทีมโครงการฯ ได้ลงพื้นที่ชุมชนลับแลในเขตเทศบาลเมืองวารินชำราบและชุมชนวังทองในเขตเทศบาลนครอุบลราชธานี ช่วยผลิตและแจกจ่าย Mask จำนวน 1,000 ชิ้น ที่มีทั้งของเด็กและของผู้ใหญ่ ร่วมกับทั้งสองชุมชน ประกอบกับ Mask ที่ได้รับการสนับสนุนจากเทศบาลโดยตรง ทำให้ปริมาณของ Mask มีเพียงพอต่อการแจกจ่ายให้กับคนในชุมชนและชุมชนเครือข่าย ด้วยเหตุนี้ การเฝ้าระวังและมีอุปกรณ์ในการป้องกันเชื้อไวรัสจะช่วยลดความเสี่ยงได้มากขึ้น คนในชุมชนก็เริ่มมีรอยยิ้มและพร้อมที่จะสู้กับภัยการแพร่ระบาดนี้ รวมไปถึงการให้ความรู้และคำแนะนำจากทีมโครงฯ ที่ประกอบกับความเชื่อมั่นในการทำงานของกลุ่มแกนนำชุมชน ทำให้คนในชุมชนนั้นได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ชัดเจน มีความน่าเชื่อถือ และไม่หลงเชื่อไปกับข่าวปลอม คนในชุมชนจึงกล้าที่จะออกจากเคหะสถาน กล้าที่ใช้ชีวิตเป็นปกติมากขึ้น ลดความวิตกกังวล และลดความกลัวของคนในชุมชนได้มากขึ้น นอกจากนี้ วันเสาร์ที่ 18 เมษายน 2563 ทีมโครงการฯ ได้นำอุปกรณ์ผลิตเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ลงพื้นที่ชุมชนเกตุแก้ว ในเขตเทศบาลเมืองวารินชำราบ เพื่อผลิตเจลแอลกอฮอล์สำหรับแจกจ่ายให้กับคนในชุมชนและชุมชนเครือข่าย จำนวน 600 ขวด ซึ่งกลุ่มผู้นำชุมชนและทีมโครงการฯ ร่วมกันผลิตเจลแอลกอฮอล์ตามสูตรการผลิตเจลที่ดัดแปลงจากของที่หาได้ง่ายและไม่มีผลกระทบต่อผิวหนัง เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและสะดวกต่อการจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ เพราะความลำบากของผู้คนไม่อาจรอได้แม้เพียงเสี้ยววินาที โดยกิจกรรมของชุมชนที่เหลือจะดำเนินงานระยะถัดไป อย่างไรก็ตาม การฟื้นฟูสภาพจิตใจของคนในชุมชนก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน ก่อนที่เชื้อไวรัสนี้จะระบาดหนักทางทีมโครงการฯ ได้จัดอบรมให้กับแกนนำชุมชน เรื่องการจัดการความเครียดและการฝึกสติในชีวิตประจำวัน ซึ่งอาจช่วยให้ชุมชนรับมือกับสถานการณ์นี้ได้มากขึ้นด้วย และการเข้าไปช่วยเหลือของทีมโครงการฯ ที่ร่วมกับกลุ่มแกนนำชุมชนที่มีความเข้มแข็งอาจส่งผลให้คนในชุมชนมีความเครียดลดลงได้ไม่มากก็น้อย ภายใต้แนวคิด “ลดความเสี่ยง ลดรายจ่าย ลดความเครียด” การช่วยเหลืออาจจะไม่ได้มากมาย แต่เชื่อว่าทุกการช่วยเหลือคือพลังและกำลังใจที่ดีที่สุดกับจะสู้กับไวรัสโคโรนา(COVID-19) นี้ ที่มารูปภาพ : Jemjakkra Setsuwan