อื่นๆ

คืนหลอนจำปาลาว

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
คืนหลอนจำปาลาว

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศลาว เมื่อตอนที่เราได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานกับเพื่อนๆสมัยที่เรียนปริญญาโท ซึ่งเราได้มีโอกาสไปเยือนประเทศลาว ประเทศเพื่อนบ้านของเราเป็นครั้งแรก เราตื่นเต้นมากที่จะได้ไปดูงานที่ประเทศนี้ แต่จริงๆตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยว ตื่นเต้นที่จะได้ไปเห็นวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนประเทศนี้มากกว่า

ความตื่นเต้นของเรายิ่งทวีคูน เมื่อเราเดินทางมาถึงโรงแรมที่พัก ทันทีที่เราก้าวขาลงจากรถบัสและมองไปที่โรงแรม มันทำให้เรารู้สึกขนลุก ความรู้สึกระแวงแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่เราก็พยายามที่ะไม่คิดอะไร โรงแรมแห่งนี้เมื่อก่อนเป็นวังเก่าของเจ้าทางลาว มีความสวยงาม สง่างาม น่าเกรงขาม และน่าขนลุกในเวลาเดียวกัน แต่ภายในความวังเวงนั้น เราก็มีความตื่นเต้นที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็นวัง นึกถึงความสวยงาม ความอลังการที่เรากำลังจะได้พบเจอแล้วก็อดปลื้มไม่ได้ นี่เรากำลังจะได้ใช้ชีวิตแบบเจ้าหญิงที่ประเทศลาวเลยนะ ถึงแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แค่คืนเดียวก็เถอะ เราและเพื่อนๆ ทยอยกันรับกระเป๋าและเดินไปที่ล็อบบี้โรงแรมเพื่อรับกุญแจห้อง มีพนักงานโรงแรมแต่งตัวสวยงามด้วยชุดที่ดูเรียบง่ายแต่แสดงถึงวัฒนธรรมเดิมของชาวลาวออกมาให้การต้อนรับพวกเรา พร้อมกับนำกุญแจห้องมาให้ พวกเราจับคู่รับกุญแจห้องแล้วรอกันอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรม ไม่นานก็มีพนักงานโรงแรมเดินตรงมาหาเพื่อพาพวกเราเข้าห้องพัก

Advertisement

Advertisement

ระหว่างทางเดินไปห้องพัก สายตาของเราสังเกตเห็นวาเรากำลังเดินผ่านลานกว้างที่มีศาลหลังใหญ่ตั้งอยู่ ทางด้านซ้ายของลานเป็นอาคารชั้นเดียวยกสูงขึ้นจากพื้น ทางขวาของลานเป็นทางไปลิฟท์แก้วซึ่งเป็นทางขึ้นตึกใหญ่ ในใจกว่า 80% มั้นใจว่าเดี๋ยวเราต้องได้ไปนอนบนตึกใหญ่แน่ และก็ภาวนาตลอดว่าเลี้ยวขวานะ อย่าเลี้ยวซ้ายเด็ดขาด แต่เหมือนว่าคำภาวนาของเราจะไม่ได้ผล เมื่อพี่พนักงานพาพวกเราเดินเลี้ยวซ้าย พวกเราเดินผ่านหน้าศาลหลังใหญ่ พร้อมยกมือไหว้อย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมายกันก่อนแต่อย่างใด พวกเราเดินตามพี่พนักงานมาหยุดอยู่ที่หน้าอาคารชั้นเดียวยกสูงที่เรามองเห็นเมื่อสักครู่ "เฮ้อ....นึกว่าจะได้นอนตึกใหญ่" เรากับเพื่อนพูดเป็นเสียงเดียวกัน ก่อนที่จะดูเลขห้องของตนเองแล้วเดินเข้าไปที่ตัวอาคาร

เมื่อเราเดินขึ้นมาบนตัวอาคาร เราได้หยุดดูแผนผังของอาคารก่อนจะเดินหาห้องพัก โอ้แม่จ้าว....มันไม่ใช่อาคารชั้นเดียวแบบที่เราเห็นค่ะ...มันเป็นอาคาร 3 ชั้น แต่ที่แปลกคือ ชั้นที่ 1 คือชั้นที่เราเห็น ส่วนชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 ต้องเดินลงบันไดไปอีก นั่นก็หมายความว่า ชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 นั้นอยู่ใต้ดินจ้า...อาคารแบบนี้ คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยค่ะ เราได้เดินลงไปส่งเพื่อที่นอนชั้น 2 บรรยากาศมันก็โรงแรมอ่ะค่ะ แต่ด้วยความที่อยู่ใต้ดินก็อาจจะดูมืดๆ อึดอัดๆ นิดหน่อย เราตั้งใจจะเดินลงไปดูชั้น 3 แต่ว่าทางลงนั้นปิดตาย ก็คงจะไม่ได้เปิดใช้แน่นอนค่ะ ...จะบอกว่า บรรยากาศมันใช่มาก ถ้าโรงแรมแห่งนี้เป็นวังเก่า อาคารนี้ถ้าไม่เป็นเรือนคนใช้ในอดีต ก็ต้องเป็นคุกเก่านั่นแหละค่ะ แต่โชคดีเหลือเกินนะคะที่เราได้ห้องชั้น 1 นั่นคือ Surprise ครั้งแรกที่มาต้อนรับเราเข้าสู่ค่ำคืนอันยาวนานต่อไป

Advertisement

Advertisement

Surprise ครั้งแรกผ่านไป Surprise ครั้งใหม่กำลังจะผ่านเข้ามา เมื่อเราเดินมาถึงห้องพัก ซึ่งห้องพักของเรานั้นอยู่สุดทางเดิน เป็นห้องสุดท้ายของชั้นนี้ เมื่อเราไขกุญแจเปิดประตูห้อง สิ่งที่เราเห็นมันทำให้เรายิ่งแปลกใจมากขึ้น ห้องนี้เป็นห้องที่มีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง น่าจะเห็นห้องที่กว้างที่สุดในชั้น ที่แปลกก็คือตรงกลางห้องมีเสาต้นใหญ่ตั้งอยู่ เราแค่รู้สึกว่ามันไม่ควรมีเสาอยู่กลางห้องหรือเปล่า เราเลือกนอนเตียงริมหน้าต่าง เพราะเพื่อนเราค่อนข้างกลัวที่จะนอนติดหน้าต่าง หน้าต่างในห้องนี้เป็นกระจก มีผ้าม่านผืนใหญ่ติดอยู่  เราลองรูดม่านออกจนเห็นกระจกหน้าต่างเต็มบาน เมื่อเรามองออกไปด้านนอก สิ่งที่เราเห็นเป็นอันดับแรกก็คือ ศาลหลังใหญ่ที่เราพึ่งเดินผ่านมา ซึ่งหน้าต่างห้องของเราตรงกับด้านหน้าของศาลพอดี ไฟในห้องก็ไม่สว่างดูสลัวๆ เรารู้สึกถึงความไม่ปกติของห้องอย่างรุนแรง ในใจคิดเพียงว่า ขอให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ดีด้วยเถอะ หลังจากที่เราเก็บของกันเสร็จก็ออกจากห้องเพื่อเตรียมตัวไปทานอาหารเย็น เมื่อเราออกมา เราเห็นอาจารย์เดินออกมาจากห้องข้างๆ ... อย่างน้อย ห้องข้างๆเรา ก็เป็นห้องของอาจารย์ เห็นแบบนี้ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นเยอะเลยค่ะ

Advertisement

Advertisement

ที่ล็อบบี้โรงแรม เราเดินออกมารวมกับเพื่อนๆ หลังจากนั้นรถบัสก็มารับพวกเราออกไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารริมน้ำ อาหารอร่อย บรรยากาศดี พร้อมกับมีการแสดงสวยๆให้ชม พวกเราทานอาหารเย็นกันไปเรื่อยๆ กว่าจะกลับถึงที่พักก็เป็นเวลาประมาณ 21.00 น. เมื่อถึงที่พัก เรากับเพื่อนอีกประมาณ 7 คน ไปนั่งกินกันต่อ ทุกคนลงมติว่าจะไปนั่งคุย นั่ง กินกันต่อที่ห้องของเรา เนื่องจากเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด เพื่อนๆทุกคนแยกย้ายกลับห้องเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ ก่อนที่จะ มารวมตัวกันอีกครั้ง ในระหว่างที่เราเดินกลับห้อง เราเห็นอาจารย์เดินลากกระเป๋าออกมาจากห้องพักด้วยท่าทางรีบร้อน ด้วยความสงสัย เราเลยถามอาจารย์ออกไป

เรา  :  “อาจารย์ จะรีบออกไปไหนคะ แล้วจะเอากระเป๋าไปนอนที่ไหนเหรอคะ”

อาจารย์ : “อ่อ ... อาจารย์ว่าจะไปนอนบนตึกใหญ่น่ะ พอดีอาจารย์คิดถึงบรรยากาศ ปีก่อนอาจารย์ก็นอนบนตึกใหญ่ จะไปย้อนรำลึกความหลังกันสักหน่อย “

แบบนี้ก็ได้เหรอคะ.....แต่ในใจก็คิดว่า อ่ะ...ดีเหมือนกัน อาจารย์ไม่อยู่ คืนนี้ก็กินกันยาวๆ ได้ เสียงดังได้ ไม่ต้องมาคอยเกรงใจกันมากมาย

เวลาผ่านไปจนถึงเวลาประมาณ  23.00 น. หรือเวลาห้าทุ่ม ในขณะที่เรากำลังนั่งคุยกันอย่างเพลิดเพลินนั้น ก็มี เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างห้อง เป็นเคาะข้างฝา พวกเราทุกคนได้ยินเหมือนกันหมด จนต้องหันกลับไปดู

เพื่อน 1  :  พวกมึงได้ยินเหมือนกันใช่ป่ะ

เพื่อน 2 : อืม...เห้ย แก ห้องข้างๆ นี่ ห้องอาจารย์ใช่ป่ะ หรืออาจารย์เขารำคาญพวกเราวะ

เรา  :  พวกมึง ช้านมีอะไรจะบอก  คือว่า อาจารย์อ่ะ ลากกระเป๋าย้ายออกไปนอนตึกใหญ่ตั้งแต่ที่เรากลับกันมาถึงห้องแล้ว

เพื่อน 2 : เอ้า...งั้นก็ไม่มีใครอยู่แล้วดิ แล้วใครเคาะอ่ะ

เพื่อน 1  :  กูว่า เราแยกย้ายกันนอนเถอะ

เพื่อน 2 : เออ เราไปนอนกันเถอะ ดูท่าไม่ค่อยจะดีแล้วนะ

เรา  :  อืม ไป แยกย้ายนอน

ทันทีที่ทุกคนแยกย้ายกลับห้องนอน บรรยากาศในห้องยิ่งวังเวงขึ้นเป็นสามเท่า ด้วยความมืด ความเงียบ และบรรยากาศโดยรอบ เรากับเพื่อนพยายามที่จะข่มตานอน  ในขณะที่เรากำลังจะหลับ ก็มีเสียงปริศนาดังขึ้นมาจากกำแพง เป็นเสียงเคาะผนัง เสียงนี้ดังมาจากข้างห้องเราเหมือนเดิม เสียงนั้นดังขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆ จนเรานอนกันไม่ได้ เรากับเพื่อนลุกขึ้นมองหน้ากัน

เพื่อน  :  แก ได้ยินใช่มั้ย

เรา  :  อืม  เช่าค่อยเล่า ตอนนี้เอาไงต่อ จะนอนต่อมั้ย

เพื่อน  :  ไม่อ่ะ ไม่นอนแล้ว กูกลัว เราไปนอนห้องเพื่อนคนอื่นดีกว่ามั้ย

เรา  :  ก็ถ้าแกกลัวเราไปนอนกับเพื่อนอีกห้องก็ได้ แล้วยังไงเดี๋ยวโทรหาให้พวกเพื่อนผู้ชายขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อน

เราตัดสินใจย้ายห้องนอน ไปนอนกับเพื่อนห้องตรงข้าม ในระหว่างที่เรารอเพื่อเปิดประตูให้อยู่นั้นเอง เราหันไปเห็นพี่ที่นอนห้องข้างล่าง หอบหมอน หอบผ้าห่ม เดินตรงมาหาเรา  แล้วบอกกับเราว่า “ห้องพี่แอร์เสีย พี่ขอนอนด้วยนะ”  ขณะนั้นเองเพื่อนเรามาเปิดประตูให้พอดี เรากับพี่เลยรีบเดินเข้าไปในห้อง ตอนนี้ห้องที่ดูกว้างสำหรับคนสองคน ต้องแคบลงด้วยจำนวนคนในห้องที่เพิ่มขึ้น พวกเรานั่งล้อมวงกัน รอเพื่อนผู้ชายอีกสองคน สักพัก เราได้ยินเสียงเคาะประตู และเสียงเรียกชื่อเราอยู่หน้าห้อง พวกนั้นคงขึ้นมาแล้วแต่อาจจะยังไม่รู้ว่าเราย้ายออกมาจากห้องนั้นแล้วเหมือนกัน เราจึงเดินไปเปิดประตู เพื่อนเราหันมาแล้วบอกกับเราว่า “อ้าว ไม่อยู่ในห้องเหรอ ละใครลากเก้าอี้อยู่ในห้องอ่ะ” เรารู้ทันทีว่าสิ่งที่เพื่อนเราได้ยินไม่ใช่คนแน่นอน เลยบอกไปว่า “ ออกมาสักพักแล้ว เข้ามาก่อน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” ในห้องตอนนี้มีสมาชิกอยู่กันทั้งหมด 8 คน พวกเรานั่งล้อมวงมองหน้ากัน  สีหน้าของแต่ละคนมันแสดงถึงความหวาดกลัว ความไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง เราจึงเริ่มถาม “เอางี้นะ มีอะไร เล่ามาเลย ยังไงดี พี่ก่อนเลยแล้วกัน ที่ขึ้นมาอ่ะ ไม่ใช่เพราะแอร์เสียใช่มั้ยคะ”

พี่ :  จ๊ะ แอร์ไม่ได้เสีย คือ พี่นอนติดกำแพง ในขณะที่นอนอยู่กำลังจะหลับ ที่กำแพงก็มีน้ำไหลลงมา แล้วพี่ก็ได้ยินเสียงฝนตกหนักมากด้านนอก ก็เข้าใจว่าฝนตก แต่พอคิดอีกที ห้องพี่อยู่ชั้นใต้ดิน จะได้ยินเสียงฝนชัดขนาดนี้ได้ยังไง ตอนแรกพี่คิดว่าเป็นน้ำแอร์ แต่พอพี่ลืมตามาดู กำแพงกลับไม่มีรอยเปียกเลยแม้แต่น้อย พื้น ที่นอน ก็ไม่มีรอยเปียกแม้แต่นิดเดียว พี่รู้สึกไม่ดี เลยขึ้นมาขอนอนด้วย

ในขณะที่เรานั่งคุยกันอยู่นั้นเอง อยู่ดีดี พี่สาวคนหนึ่งก็กรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ แล้วกระโดดออกมาอยู่กลางวงสนทนา

เรา :  เจ้ เป็นอะไร

พี่สาว : เมื่อกี๊ ที่เราคุยกันอยู่ อยู่ดีดีพี่ก็รู้สึกเหมือนมีมือมาจับตัวพี่จากด้านหลัง

พี่สาวพูดพลางร้องไห้ด้วยความกลัว ตอนแรกคิดว่าเป็นมือใครหรือเปล่า แต่จุดที่พี่สาวนั่งนั้นห่างจากเพื่อนคนอื่นพอประมาณ และพี่เขาก็นั่งหันหลังชนกำแพงด้วย  ตอนนี้ทุกคนในห้องค่อนข้างขวัญเสีย แต่ละคนไม่สามารถที่จะข่มตานอนได้ เว้นแต่เพื่อนคนหนึ่งที่หลับไป  แต่สิ่งที่ผิดปกติก็คือ เพื่อนที่นอนหลับอยู่นั้นนอนตัวแข็งทื่อ เราบอกเพื่อนทุกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันให้ดูอาการที่เพื่อนเป็น พอพวกเราจ้องไปที่ตัวของเธอ เธอก็ลุกขึ้นนั่งทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่ เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะในลำคอ หึหึหึ ....

สิ้นเสียงหัวเราะนั้น เธอทิ้งตัวลงนอน เธอตื่นลืมตาขึ้น แล้วถามพวกเราว่า “มีอะไรหรือเปล่า จ้องหน้าเธอทำไม”  พวกเรามองหน้ากันแล้วเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง ถามเธอว่ารู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไปบ้าง เธอบอกว่าไม่รู้ตัวเลย ก็ตื่นมาก็เห็นทุกคนจ้องหน้าเธออยู่ ...ทุกคนเข้าใจตรงกัน ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ธรรมดา พวกเรานั่งคุยกันจนถึงตี 5 ตอนเช้ามีกิจกรรมตักบาตรข้าวเหนียว พวกเราไปกันเป็นกลุ่มแรก อาจารย์ชมว่า พวกเธอตื่นกันเช้าจังนะ ไม่อยากจะบอกค่ะ ว่าไม่ได้ตื่นเช้า พวกเรายังไม่ได้นอน ทุกคนออกมากันครบก็เวลาเกือบจะ 05.45 น. ขาดแต่พี่ชาย ที่รายนั้นไม่ต้องพูดถึง ไม่น่าจะออกมาอยู่แล้ว พวกเรากำลังจะเดินไปตักบาตรข้าวเหนียวกันที่หน้าโรงแรม ทันใดนั้นเองก็มีเสียงวิ่งมาจากทางห้องพัก  มันเป็นเสียงฝีเท้าของพี่ชาย พี่ชายผู้ที่ไม่เคยตื่นเช้า วิ่งกระหืดกระหอบออกมารวมกับพวกเราที่หน้าโรงแรม หลังจากตักบาตรเสร็จ พวกเรานั่งรวมตัวกันที่ล็อบบี้โรงแรม รวมถึงพี่ชายด้วย

เรา : ปกติพี่ไม่ค่อยตื่นเช้านะ วันนี้เป็นอะไรทำไมตื่นมาตักบาตรได้

พี่ชาย  : ทีแรกก็ว่าจะไม่ลุกหรอกนะ แต่ว่า....

เรา :  ใช่ ใช่มะ ไหน เล่ามาซิคะ

พี่ชาย  : คือ...พี่นอนอยู่ใช่มั้ย เพื่อนพี่มันลุกมาตักบาตร แต่พี่ ขี้เกียจไง ก็ตั้งใจว่าจะไม่ลุก ทีนี้ พี่ก็สะลึมสะลือ ตื่นมาพี่เห็นผู้หญิงแต่งชุดสาวลาวโบราณนั่งอยู่ปลายเท้า แล้วเขาค่อยๆหันหน้ามาหาพี่ เป็นคนสวยเลยแหละ แต่พี่ว่าไม่น่าจะใช่คน แรกๆพี่ก็ใจดีสู้ผีนะ คือเดี๋ยวเขาก็คงไปเลยข่มตาหลับต่อ ทีนี้มันมีความรู้สึกว่าเขายังอยู่ เลยลืมตาขึ้นมาดู แม่จ้าว...เขายังนั่งอยู่ที่เดิม มองมาหาพี่เหมือนเดิม พี่ก็พูดออกไปว่า ไปเถอะครับ ไปเถอะ เขาก็ไม่ไป สุดท้ายพี่ก็เลยต้องเป็นฝ่ายไปเอง พี่เลยลุกขึ้นเปิดประตู พอตอนกำลังจะปิดประตู พี่หันไปดูที่ที่นอน เขาไม่อยู่แล้ว เท่านั้นแหละ พี่ก็เลยต้องวิ่งออกมาตักบาตรกับพวกเธอนี่แหละ

เรา : เรียบร้อย โดนกันถ้วนหน้า...

พี่ชาย  : นี่พวกเธอก็เจอเหรอ

เรา : ก็ที่ลุกมาตักบาตรได้นี่นะ ไม่ใช่ตื่นเช้านะคะ ยังไม่ได้นอนกันเลยค่ะ

ในเวลานั้นเอง อาจารย์เดินกลับจากตักบาตร กำลังจะผ่านพวกเราไป

เรา : อาจารย์คะ เชิญทางนี้หน่อยค่ะ

อาจารย์  :  ว่าไง แหม ตื่นเช้ากันจังนะวันนี้

เรา : อาจารย์ พวกหนูยังไม่ได้นอนเลยค่ะ อาจารย์รู้อะไรมาใช่ไหมคะ ถึงหนีมานอนตึกใหญ่

อาจารย์  : .......ยิ้ม.......แล้วเดินจากไป

ว่าแล้ว....ทำไมถึงลากกระเป๋า หนีไปนอนตึกใหญ่ พวกเราเข้าใจว่า ด้วยความที่พวกเราเสียงดัง กินกันในห้องดึกดื่น เจ้าที่เจ้าทางอาจจะมาเตือน หรืออาจจะไม่ชอบสิ่งที่เราทำก็ได้ ก่อนเดินทางกลับจากโรงแรม พวกเราพร้อมกับพี่ชาย ก็ไปตั้งแถวยืนหน้าศาลใหญ่ เพื่อไหว้ขอขมาสิ่งที่พวกเราทำไป ซึ่งอาจจะเป็นการรบกวน ลบหลู่ สิ่งที่เรามองไม่เห็น

นี่เป็นประสบการณ์หนึ่ง ที่พวกเราได้เจอ อาจจะไม่ได้น่ากลัวอะไรมากมาย แต่ ณ เวลานั้น จะบอกว่าไม่กลัวก็ไม่น่าจะได้ สิ่งที่เรามองไม่เห็น ก็ใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง การเคารพต่อสถานที่ก็เป็นสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ควรทำ ถึงเราจะไม่เชื่อ แต่เราก็ไม่ควรจะลบหลู่ค่ะ เรื่องที่เราเจอมา ถ้าเกิดว่า ดวงวิญญาณในสถานที่นั้นๆ เป็นดวงวิญญาณที่ไม่ดีอยู่บ้าง พวกเราคงจะโดนหนักกว่านี้แน่นอนเลยค่ะ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์