มีคนเคยบอกว่า ถ้าอยากดูการแสดงโชว์ของช้าง จะดูที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าอยากดูวิถีชีวิตของคนกับช้าง ให้ไปที่ “หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง จ.สุรินทร์” .... แล้วจะรออะไรหละ ลุยกันเลย !!!! เรานั่งรถไฟขบวนที่ 23 (รถด่วนพิเศษ อิสานวัตนา) ออกจาก กทม เวลา 20.30 น. ตรงเป๊ะ ไม่มีเลท ที่นั่งที่จองไว้เป็นแบบรถไฟชั้น 2 ที่รถไฟแล่นไปได้ซักพัก พี่เจ้าหน้าที่จะมากางเตียงให้เรา สำหรับรถไฟขบวนใหม่ของไทยนี้มันดีมากเวอร์ เพราะห้องน้ำเป็นระบบปิดเหมือนบนเครื่องบิน มีจอ tracking ตลอดเวลาว่ารถไฟอยู่ที่ไหน และจะถึงที่หมายกี่โมง มีที่ชาร์จโทรศัพท์ทุกที่นั่งด้วยนะ และที่สำคัญ มีตู้เสบียงให้เราไปนั่งกินขนมได้ด้วยจ้า นั่งๆนอนๆ ไปเรื่อย ในที่สุดก็มาถึงจุดหมาย ที่จังหวัด “สุรินทร์” !!! จุดมุ่งหมายของเราในวันนี้ก็คือไปหมู่บ้านช้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก “หมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง” แต่ด้วยความอินดี้ เราก็ไม่ได้เช่ารถ หรือติดต่อให้ใครมารับไว้ก่อนเลย ดังนั้นภารกิจแรกก็เป็นการโบกรถ ซึ่งโชคดีมากที่เจอพี่คนนึงเค้าเป็นควาญช้าง และกำลังจะไปที่บ้านตากลางพอดี เราก็เลยติดรถเค้าไป เรานัดเจ้าของโฮมสเตย์ไว้ให้มารับที่ศูนย์คชศึกษา หรือที่โชว์ช้างนั่นเอง พอดูโชว์ช้างเสร็จพี่เจ้าของโฮมสเตย์โทรมาบอกว่า ให้นั่งช้างตัวที่โชว์กลับบ้านมาได้เลย เป็นโมเม้นต์ที่งงๆ แต่ควาญที่ดูแลช้างบอกว่า ช้างที่โชว์นี่เป็นของโฮมสเตย์บ้านบุญเหลือ (ที่เราจองไว้) มันเป็นประสบการณ์ที่ดีและเจ๋งสุดๆ เพราะเค้าให้เราขี่บนคอช้างเลย ไม่มีสล่งเสลี่ยงอะไรทั้งนั้น ระหว่างทางเราเห็นบ้านหลายหลังที่เลี้ยงช้างไว้ในบ้าน ควาญช้างบอกว่าคนที่นี่เลี้ยงช้างเหมือนเลี้ยงลูก ซึ่งก็ท่าจะจริง เพราะเราเห็นควาญช้างคอยดูแลช้าง ปัดแมลง ให้อาหาร และเอาใจใส่ช้างของตัวเองเป็นอย่างดี น้องพาเราเดินกว่าครึ่งชั่วโมง ก็ถึงโฮมสเตย์บ้านบุญเหลือ คุณลุงเจ้าของที่พักใจดีมากๆ บ้านของคุณลุงมีช้างทั้งหมด 5 เชือก และที่น่าตื่นเต้นที่สุดก็คือ มีตัวเล็กที่เพิ่งคลอดใหม่ อายุได้ 10 วันด้วย คุณลุงบอกว่ายังไม่ได้ตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ แต่เรียกกันว่า “งาน้อย” เก็บข้าวของเสร็จ คุณลุงจัดแจงพาเราขึ้นขี่ช้างอีกครั้งเพื่อพาน้องไปอาบน้ำ จุดนี้ถือว่าพีคสุดๆ เพราะมันเป็นประสบการณ์ที่ดีแบบไม่รู้จะบรรยายด้วยคำพูดใดๆ การอาบน้ำที่ว่า ไม่ใช่เป็นการเปิดสายยางแล้วฉีดๆหลอกนะ แต่มันคือการอาบน้ำในแอ่งน้ำธรรมชาติของจริง ช้างเชือกที่พาเราเปิดประสบการณ์ครั้งนี้ชื่อ “มงคล” พอมงคลเดินมาถึงแอ่งน้ำก็เดินลงอย่างรวดเร็ว (เหมือนน้องจะชอบน้ำ) เราที่นั่งอยู่บนคอ ก็หวาดเสียวเหมือนกันแล้วก็มีพลัดตกน้ำไป 2 ครั้ง เพราะน้องก็ relax ตัวเองเต็มที่ อาจจะลืมไปเลยว่ามีเรานั่งอยู่ด้วย 5555 ซักพักนึงควาญช้างก็ยื่นแปรงมาให้ บอกว่าให้ขัดหลังให้น้องด้วย (มงคลจ๊ะ ให้พี่ถูหลังให้นะ) หลังจากมงคลสบายตัว และเราก็เปียกไปทั้งตัว ก็ถึงเวลาเดินกลับบ้าน มันเป็นช่วงเวลาเย็นๆ พระอาทิตย์กำลังจะตก เรานั่งอยู่บนหลังช้างกลางธรรมชาติ ชีวิตมันช่าง slow life จริงๆ พอเดินมาถึงบ้าน มงคลก็ให้เราลงจากหลัง และน้องก็นอนแผ่สบายใจเฉิบ อารมณ์แบบว่าใครจะมาเรียกไปไหน หรือทำอะไรตอนนี้ ก็จะไม่ทำแล้วนะ กลับเข้าที่พัก อาบน้ำ กินข้าวที่คุณลุงเตรียมไว้ให้จนอิ่มแปล้ ก็รีบไปดูงาน้อย คุณลุงบอกว่าแม่ของงาน้อย ไม่ยอมหลับยอมนอน เฝ้าลูกทั้งคืน คอยให้ลูกกินนม และปัดแมลงให้ตลอด งาน้อยก็ไม่ยอมห่างแม่เช่นกัน คุณลุงเล่าให้ฟังว่าช่วงที่ท้องแก่ คุณลุงและควาญช้างจะมานอนเฝ้าแม่ช้างด้วย เผื่อว่าคลอดกลางดึก มันเป็นคืนที่เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เรายืนดูงาน้อยอยู่นานสองนาน รู้ตัวอีกทีก็ยุงกัดเต็มขาแล้ว 555 เรากับคุณลุงมีความเห็นตรงกันว่าดูแล้วมันเพลิน ยืนดูทั้งวันก็ไม่เบื่อเลย 555 ในตอนเช้า ไม่มีเสียงนาฬิกาปลุก ไม่มีเสียงไก่ขัน มีแต่เสียงช้าง สมาชิกในบ้านคุณลุง 2 เชือก ต้องออกไปทำงาน (ไปโชว์) เรายืมมอเตอร์ไซค์คุณลุงขี่ไปดูสุสานช้าง ที่วัดป่าอาเจียง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโฮมสเตย์ พอกลับมาถึงคุณลุงก็อาสาพาเรากลับเข้าเมือง เพราะลุงแกจะไปทำธุระในเมืองเหมือนกัน สุดท้ายนี้ หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง จะเป็นที่ที่เรากลับมาเยี่ยมอีกครั้งอย่างแน่นอน เพราะถึงเราจะเคยดูโชว์ช้างมาหลายที่ และการโชว์ช้างที่นี่ก็ไม่ได้ดีเด่ไปกว่าที่อื่นมากนัก แต่การมาเที่ยวครั้งนี้ ทำให้เราได้เห็นถึงวิถีชีวิต ของคนกับช้าง ที่เค้าอยู่กันอย่างเป็นครอบครัว <3 เครดิตภาพทั้งหมด โดยผู้เขียน