พาเที่ยวชมวัดป่าพนมกลอนของจังหวัดสุรินทร์ สวัสดีค่ะ วันเสาร์ที่ผ่านมาคุณพ่อพาชวนเราไปวัดแห่งหนึ่งของจังหวัดสุรินทร์ก็คือจังหวัดที่เราอยู่ หลังจากที่คุณพ่อบอกชื่อวัดทำเอาเราคิดว่า มีวัดนี่ในจังหวัดเราด้วยหร่อทำไมไม่เคยได้ยินเลย คุณพ่อก็บอกว่ามีสิแกก็เคยไปนะเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หลังจากคำพูดเหล่านั้นความทรงจำก็เริ่มผุดเข้ามาในหัว เราก็ถามพ่อต่ออีกว่า ใช่วัดที่ไกล ๆ อยู่ในป่าไหม พ่อก็ตอบกลับว่าใช่เเล้ว ตอนนั้นเรายังวัยเด็กช่วงนั้นไม่ค่อยมีอะไรเจริญสักเท่าไหร่แต่ความทรงจำตอนนั้นที่จำได้เเม่น ๆ คือความรู้สึกว่ามันยาวนานเหลือเกินทำไมถึงไม่ถึงวัดสักที ในตอนนั้นเรากับคุณพ่อและพี่ขี่รถจักรยานยนต์ 1 คันซ้อนสามคนเรานั่งตรงกลางเราจำบรรยายกาศตอนเดินวัดไม่ได้แต่เราจำได้ตอนขาขี่รถกลับบ้าน เราหลับระหว่างที่พ่อขี่รถกลับพ่อกับพี่ก็ประครองไม่ให้เราตกเราจำความรู้สึกนั้นได้ ณ วันเสาร์ที่ผ่านมาเราได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมวัดเเห่งนี่อีกครั้งสิ่งแรกที่เราเห็นคือเริ่มเจริญขึ้นแต่วัดป่าแห่งนี่ยังคงเหมือนเดิม หลวงปู่ที่ประจำวัดนี่คือหลวงปู่เห่ หลาย ๆ ท่านอาจจะไม่รู้จักท่านมากเรานำประวัติมาฝากนะคะ หลวงปูเห่ อุปกมโท ชื่อนามสกุลเดิม บุญส่ง ดวงดี ท่านได้เดินตามทางพี่ชายของท่านคือ หลวงพ่อเทียน ขณะที่ท่านเป็นผ้าขาวอยู่นั้น ได้เดินธุดงค์ไปถึงประเทศเวียดนามกับท่านพ่อลีเพียงลำพัง 2 องค์ อายุ 12 ปี จึงได้อุปสมบท ณ วัดจันทนาราม จ.จันทบุรี โดยมีพระครูครุนากสมาธาร เป็นพระอุปัชฌาย์และท่านก็เลือกมาอยู่ที่บ้านนาเสือก ท่านชอบความเป็นอยู่แบบเรียบง่ายตามอย่างพระธุดงกรรมฐาน ท่านได้ฝากคำสอนมาด้วยว่า จิตตัง ทันตัง สุขาวะหัง แปลว่า จิตที่อบรมดีแล้ว นำมาให้ ในที่สุดเเห่งสัจธรรม ประตูทางเข้าจะดูเก่าเเก่นิดหนึ่งเพราะว่านานมากแล้ว ระหว่างที่ขับรถมาก็มีแต่ที่น่าและป่าไม้ พอได้เข้าไปห่ออุปะกัมมาจารย์ อนุสรณ์สถาน หลวงปู่เห เข้าไปจะเจอโรงศพเเก้วแบบไม่ได้เผาไว้ค่ะและก็สิ่งของที่ท่านเคยใช้ทั้งหมดเก็บไว้ เชิญชมนะคะ ถึงว่าจะเป็นวัดป่าที่ไม่ได้ดังแต่ที่นี่คือที่อยู่ในจิตใจของพ่อเรา ครั้งหนึ่งก็กลับมาเยี่ยมบ้างอะไรบ้างและวันที่ 13 มีนา นี่เค้าจะมีโรงทานแล้วถ้าใครผ่านมาอยากจะมาลองสัมผัสอากาศที่เต็มไปด้วยป่าไม้ ก็ขอเชิญชวนให้มาได้นะคะ สำหรับวันนี่ก็ขอจบลงเพียงเท่านี่พบกันใหม่โอกาสหน้าสำหรับวันนี้ ขอบคุณคะ ภาพปกโดยนักเขียน