จุดหมายในการเดินทางครั้งนี้ อยู่ที่ จ.สุรินทร์ ค่ะ แต่ขอบอกก่อนเลยว่า เป็นการเดินทางกลับบ้านด้วยสำนึกรักในบ้านเกิด เราตื่นเต้นมาก ๆ เพราะถือเป็นการเดินทางกลับบ้านประจำปีเลยก็ว่าได้ ฮ่า ๆ ๆ เราจัดกระเป๋าล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ จองตั๋วล่วงหน้า 1 วัน กับบริษัทเดินรถชินเกียรติโคราช ต้นทางภูเก็ตปลายทางอุบลราชธานี ในราคา 1,389 บาท รถมีบริการทุกวัน ๆ ละ 3 เที่ยวค่ะ ใช้ระยะเวลาในการเดินทาง 19 ชั่วโมงโดยประมาณ พอ ๆ กับนั่งเครื่องไปอเมริกามั้งค่ะ ( ไม่เคยไป ) อย่าถามนะคะ ว่าทำไมไม่นั่งเครื่อง ฯ เคยนั่งค่ะ แต่กลัวมาก ๆ เราจองตั๋วรอบสุดท้าย รถออกจากสถานีขนส่งภูเก็ตในเวลาบ่าย 3 โมง ถึงจังหวัดสุรินทร์ในเวลา 10.30 น. ของอีกวันค่ะ โอ๊ยยย...เมื่อยตูด ฮ่า ๆ ๆ เราลงจากรถที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดสุรินทร์ และต้องนั่งรถเข้าบ้านต่ออีก 14 กิโลเมตร ใช้เวลา 20-25 นาที ที่นี่มีรถตู้ให้บริการทุกวันค่ะ ตั้งแต่ 05.00 น. - 18.00 น. ค่าโดยสารเข้าบ้าน 20 บาทค่ะ เอาล่ะ... ก่อนจะเข้าบ้าน มาทำความรู้จัก จ.สุรินทร์ กันสักเล็กน้อย ถ้าพูดถึงจังหวัดสุรินทร์ หลายคนคงนึกถึง ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมสวย เคยเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดในโลกมาแล้ว หรือไม่ก็ของขลัง อันนี้ก็ไม่รู้สินะ ภาษาพูดเกร๋ ๆ อย่างภาษาเขมร ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของคนสุรินทร์เขาล่ะ ใครที่ไม่เคยรู้จักภาษาเขมร ก็อาจจะนึกถึงภาษาต่างประเทศ อย่างเช่น ภาษาฝรั่งเศษ หรือไม่ก็เยอรมัน สำเนียงการพูดจะคล้าย ๆ กัน อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน คิดไปเองค่ะ นาน ๆ ได้กลับมาฟังเขาคุยกัน เรานี่เพลินเลย หลังจากห่างหายการใช้ภาษาของตัวเองไปนาน ลงจากรถตู้เราสะพายเป้และกระเป๋าถือ 1 ใบ ยืนอยู่ริมถนน เหมือนพจมานหิ้วชะลอมจะเข้าบ้านทรายทอง สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นหญ้า ดอกหญ้าสวย ๆ ต้นไม้น้อยใหญ่ปกคลุมป้ายบอกทางเข้าหมู่บ้านซะเกือบมิด พอมองเห็นป้ายเขียนว่าที่นี่เป็นหมู่บ้านนวัตวิถี เรานี่รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา Search คำว่า " นวัตวิถี " คืออะไรหว่า? ก็พอจะเข้าใจความหมายคร่าว ๆ ว่า " หมู่บ้านท่องเที่ยว ที่มุ่งเน้นภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่น ให้มีอาชีพ มีรายได้ภายในชุมชน " อะไรประมาณนี้ค่ะ มาถึงบ้านนาตัง ก่อนอื่นต้องแวะไปสวัสดีคุณลุงปัญญา บุตรชาติ ค่ะ เป็นปราชญ์ชาวบ้าน ที่มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องเงินโบราณ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า " ปะเกือม " เป็นภาษาเขมรค่ะ ที่นี่มีภาษาพูดหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เขมร ส่วย ลาว แต่ที่บ้านนาตังส่วนใหญ่จะพูดภาษาเขมร มีกูรูในเรื่องของการทอผ้าอย่าง อาจารย์สุรโชติ ตามเจริญ มีนายช่างทองมือหนึ่งของหมู่บ้านอย่างคุณสุเพียบ พรหมศรี มีวัฒนธรรมและประเพณีแบบโบราณอีกเพียบค่ะ โดยเฉพาะประเพณี " แซนโฎนตา " กับพิธีกรรม " โจลมาม๊วด " แปลกและไม่เหมือนจังหวัดอื่น ๆ คำว่าแซนโฎนตา ก็คือ การไหว้บรรพบุรุษนั่นเองค่ะ ส่วนคำว่า โจลมาม๊วด เป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับการขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ให้ออกไปจากคนที่เจ็บป่วยนาน ๆ ตามความเชื่อของคนที่นี่ค่ะ แต่ปัจจุบันหาดูยาก เพราะต้องอาศัยคนช่วยงานเยอะ ค่าใช้จ่ายก็เยอะตามไปด้วย จึงหันมาจัดพิธีแบบเล็ก ๆ กันเองภายในบ้านค่ะ ที่นี่ทำนาเป็นอาชีพหลักค่ะ ทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำนาปลูกข้าว จะแฝงไปด้วยพิธีกรรมมากมาย ตั้งแต่เริ่มเพาะปลูกไปจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต ชุมชนเข้มแข็งค่ะ เพราะชาวบ้านให้ความร่วมมือกับผู้นำในชุมชนเป็นอย่างดี มีการส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวบ้านมีอาชีพเสริมหลังจากหมดฤดูเก็บเกี่ยว เช่น การทอผ้า การทำเครื่องประดับจากเงินแท้ และทองเหลือง กลายเป็นสินค้าโอท็อปที่มีชื่อเสียงประจำหมู่บ้านค่ะ ในช่วงที่ " ออเจ้า " ฟีเวอร์ไปทั่วบ้านทั่วเมือง สินค้าก็ขายดีมาก ๆ โดยเฉพาะเครื่องประดับ ราคาขายก็จะมีตั้งแต่หลักสิบถึงหลักหมื่น ส่วนผ้าไหมก็จะเริ่มต้นที่ราคาหลักร้อยจนถึงหลักหมื่นเช่นกันค่ะ ทุกชิ้นงานของที่นี่ เป็นฝีมือของคนในชุมชน ผลิตเองเกือบทุกขั้นตอนภายในหมู่บ้าน มาถึงบ้านเราแล้ว ลองพูดภาษาเขมรสักคำสองคำ อย่างคำว่า " ซอมโฮปบาย " แปลว่า " ขอกินข้าว " รับรองไม่อดข้าวแน่ ๆ ค่ะ (: ใครอยากเดินชมขั้นตอนการทอผ้า หรือเครื่องประดับ ก็สามารถขอเจ้าของบ้านเข้าไปชมได้เลยค่ะ หากบังเอิญไปเจอตอนที่ชาวบ้านกำลังสาวไหม อาจจะได้ลิ้มลองรสชาติของดักแด้ทอดด้วยค่ะ ( การสาวไหม คือ การใช้เครื่องมือในการนำเส้นไหมออกจากตัวไหม ที่ปล่อยน้ำลายห่อหุ้มตัวเองจนกลายเป็นดักแด้ ) ความมีมนต์ขลังของที่นี่อีกอย่าง ก็คือ การแต่งกายค่ะ ในช่วงที่มีงานบุญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น งานบวช งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ฯลฯ ชาวบ้านแต่งกายด้วยผ้าไหมที่ทอเอง และเครื่องประดับที่มีในหมู่บ้าน สวยงามมาก ๆ ค่ะ มีผ้าไหมที่ตำนานอย่าง "ผ้าโฮล" เป็นผ้าไหมมัดหมี่โบราณของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยเชื้อสายเขมรที่นี่ค่ะ เป็นการมัดย้อมเส้นไหมให้มีลวดลายสวยงาม ก่อนนำไปทอเป็นผืนผ้า เห็นแค่การแต่งกายยังขนลุกเลยค่ะ เหมือนมีมนต์ ปกติคนเฒ่าคนแก่ก็จะนุ่งเข้าวัดทำบุญอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนเด็ก ๆ วัยรุ่นหรือวัยกลางคน จะนิยมนุ่งในช่วงเทศกาลต่าง ๆ สวยมากค่ะ ทุกปีที่เรากลับมาเยี่ยมบ้านในช่วงปลายฝนต้นหนาว ( ตุลาคม-พฤศจิกายน ) ทุ่งนาที่นี่สวยงามมาก ๆ ค่ะ บางพื้นที่มีสีเขียวสลับสีทอง เพราะข้าวจะสุกไม่พร้อมกัน เมื่อข้าวสุกพร้อมกันหมด ก็จะกลายเป็นทุ่งนาสีทอง สวยงามตื่นตาตื่นใจมาก ไม่แปลกใช่ไหมค่ะ ตอนที่เราเด็ก ๆ มองทุ่งนาที่บ้านตัวเองก็งั้น ๆ มาถึงตอนนี้ ตอนที่เราเริ่มแก่ พอ ๆ กับข้าวที่ใกล้จะสุก ฮ่า ๆ ๆ นั่งมองทุ่งนาแล้วนึกถึงตอนเป็นเด็ก ชีวิตมันช่างมีความสุขอะไรได้เบอร์นั้น จริงไหมค่ะ อ้อ... บ้านนาตังไม่มีนาขั้นบันไดนะคะ เพราะเป็นพื้นที่ราบ บ้านเรามีอะไรดี ๆ มากมาย ทั้งที่เคยเห็นและไม่เคยเห็น แอบตั้งคำถามในใจว่า บ้านเรามีอะไรที่น่าสนใจได้มากขนาดนี้เลยหรอ มันน่าทึ่งมาก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแปลกหน้า ฮ่า ๆ ๆ หากใครกลับบ้านรอบหน้า ชวนเราไปเที่ยวด้วยน๊า เราเชื่อว่าบ้านของทุกคนก็มีอะไรดี ๆ ไม่แพ้บ้านเรา ลองเปลี่ยนแนวการท่องเที่ยวดูบ้างนะคะ วิถีชุมชน ผู้คนที่คุ้นเคยอาจเปลี่ยนแปลงไป ด้วยวัยเราอาจะเห็นมุมมองใหม่ ๆ อะไรที่เป็นเรื่องปกติธรรมดา มันอาจจะไม่ธรรมดาอีกต่อไป แล้วคุณจะหลงรักบ้านเกิดของคุณเอง เหมือนเราในตอนนี้ ใครอยากมาเที่ยวบ้านเราไม่ยากเลยค่ะ มากับเราก็ได้น๊า ถ้าขับรถมาเองให้เริ่มจากสถานีขนส่งผู้โดยสารสุรินทร์ ข้ามทางรถไฟไปสัก 200 เมตร ใช้เส้นทางหมายเลข 214 ถนนสายสุรินทร์-จอมพระ ถึงทางแยกไป อ.เขวาสินรินทร์ ให้ขับเลยไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร สังเกตป้ายหมู่บ้านนาตัง อยู่ทางขวามือค่ะ การเที่ยวชมหมู่บ้านนาตัง หมู่ 8 ต.เขวาสินรินทร์ อ.เขวาสินรินทร์ จ.สุรินทร์ แนะนำให้ติดต่อสอบถามรายละเอียดล่วงหน้า ได้ที่ คุณสุเพียบ พรหมศรี หรือคุณสุรีพร พรหมศรี หมายเลขโทรศัพท์ 093-395-5132 ทั้งสองท่านนี้จะมีทีมงาน ซึ่งก็คือคนภายในชุมชน พาเที่ยวชมภายในหมู่บ้าน ฟรีค๊าาาา... ขอบคุณภาพเครื่องประดับเงินและทองเหลือง โดย คุณสุรีพร พรหมศรี ขอบคุณภาพผ้าไหมสวย ๆ โดย อาจารย์สุรโชติ ตามเจริญ ขอบคุณภาพช้างและป้าย "ซร็อกนาตัง" โดย คุณสุรีพร พรหมศรี ภาพประเพณีและพิธีกรรม ทุ่งนาเขียว ๆ โดยผู้เขียนและน้องชาย ขอบคุณพี่น้องชาวบ้านนาตังที่มีชื่อและภาพปรากฎอยู่ในบทความ