ปราสาทสระกำแพงน้อย ถือว่าเป็นโบราณสถานที่อยู่ใกล้ตัวอำเภอเมืองจังหวัดศรีสะเกษที่สุด ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดเทพปราสาท(คนทั่วไปมักจะรู้จักในชื่อวัดสระกำแพงน้อย) ตำบลขยุง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ห่างจากตัวอำเภอเมือง 8.7 กิโลเมตร เลี้ยวเข้ามาในวัดก็จะเจอป้ายนี้ตั้งไว้อย่างโดดเด่น ภายในบริเวณวัดเป็นพื้นหญ้าโล่งเตียน ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น อากาศปลอดโปร่ง ไม่มีความรกหูรกตา เดาว่าน่าจะเป็นข้อกำหนดในการดูแลรักษาเพื่อคงสภาพโบราณสถานของกรมศิลป์ ภาพด้านบนคือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์(บาราย) กรุด้วยศิลาแลง ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสี่ของบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์สำหรับใช้ในงานพระราชพิธีสำคัญประจำจังหวัดศรีสะเกษ ทางเข้าปราสาท แท่นในภาพด้านบนคือประวัติความเป็นมาของปราสาทสระกำแพงน้อย โดย กรมศิลปากร ใจความว่า "ที่ตั้งกลางตำบลขะยุง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ปราสาทสระกำแพงน้อยเป็นหนึ่งในศาสนสถานประเภท 'อโรคยศาล' หรือสถานพยาบาล ซึ่งปรากฏหลายแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ตามจารึกปราสาทตาพรหมระบุว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ โปรดให้สร้างขึ้นจำนวน ๑๐๒ แห่ง ในทุก ๆ วิษัย(เมือง) มีลักษณะแผนผังประกอบด้วยปราสาทประธาน บรรณาลัย โคปุระ กำแพงล้อม และสระน้ำ อาจเคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา พระพุทธเจ้าแห่งการรักษาโรคและพระโพธิสัตว์ ๒ พระองค์ คือ พระสูรยประภาและพระจันทรประภา เนื่องจากสร้างขึ้นด้วยความรีบเร่งในการสร้างจึงมีการนำเอาทับหลังและส่วนประกอบสถาปัตยกรรมอื่น ๆ ที่เป็นหินทรายจากปราสาทสมัยบาปวนแห่งหนึ่งมาสร้าง การประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๕๒ หน้า ๓๖๘๐ วันที่ ๘ มี.ค.๒๔๗๘ การประกาศกำหนดขอบเขตโบราณสถานประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๑๑๙ ตอนที่ ง วันที่ ๒๙ พ.ย.๒๕๔๕ เนื้อที่ประมาณ ๕๓ ไร่ ๓ งาน ๗๗ ตารางวา" ส่วนอีกด้านของแท่นคือพระราชบัญญัติ โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภันฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๔ แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ ความว่า "มาตรา ๑๐ ห้ามมิให้ผู้ใดซ่อมแซม แก้ไข เปลี่ยนแปลง รื้อถอน ต่อเติม ทำลาย เคลื่อนย้ายโบราณสถานหรือส่วนต่าง ๆ ของโบราณสถาน หรือขุดค้นสิ่งใด ๆ หรือสิ่งปลูกสร้างอาคารภายในบริเวณเขตโบราณสถาน เว้นแต่จะกระทำตามคำสั่งของอธิบดีหรือได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดี มาตรา ๓๒ ผู้ใดบุกรุกโบราณสถาน หรือทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์โบราณสถาน ต้องระวังโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินเจ็ดแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้ากระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำต่อโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" มีทับหลังติดอยู่ด้านบนประตูทางเข้า ภาพด้านล่าง ตัวเลขสีขาวที่เห็นนั้นคือทะเบียนโบราณวัตถุที่มีการบันทึกลงศิลาแลงในช่วงบูรณะโบราณสถาน ซึ่งจะปรากฏให้เห็นบ้างประปรายทั่วทั้งปราสาท จากภาพบน เมื่อเดินเข้ามาด้านในจะพบกับลานด้านหน้าปราสาทประธานขนาดไม่กว้างเท่าไหร่ โดยตัวเราจะยืนตรงกับตัวปราสาทประธานพอดี ภาพด้านบนคือ ร่องรอยโบราณที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตว่า ณ ที่ตรงนี้เคยมีบางสิ่งบางอย่างตั้งอยู่ ซึ่งในปัจจุบันก็ไม่มีใครสามารถตอบได้ว่านั่นคือสิ่งใด ทางกรมศิลปากรได้ทำระบบทางระบายน้ำรอบปราสาทเพื่อไม่ให้ดินเกิดการยุบตัว ด้านบนคือภาพของทับหลังที่เหลืออยู่เพียงเสี้ยวเดียว เห็นแล้วน่าเสียดายมาก ภาพด้านบนคือห้องภายในบรรณาลัย มีการก่อแนวศิลาแลงยกระดับขึ้นเป็นแท่น คาดว่าคงใช้สำหรับประดิษฐานรูปเคารพ ทับหลังหน้าทางเข้าปราสาทประธาน เสาประดับกรอบประตูมุขหน้าสักด้วยลวดลายแบบบายน เสาประดับกรอบประตูห้องกลางสลักลวดลายที่ฐานเสาเป็นรูปฤาษีในซุ้ม ภายในค่อนข้างแคบ มีพระพุทธรูปประดิษฐานเพื่อให้คนได้เคารพบูชา ด้านหลังปราสาทประธาน ปราสาทหินสระกำแพงน้อยค่อนข้างเงียบสงบ ประเด็นสำคัญน่าจะเพราะตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัด แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่โตเพราะจุดประสงค์หลักในการสร้างในสมัยนั้นคือทำเป็นสถานพยาบาล ทว่าร่องรอยความงดงามยังคงปรากฏอยู่ให้เห็นแม้กาลเวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน ดิฉันเชื่อว่าโบราณสถานทุกแห่งล้วนมีเรื่องเล่าด้วยตัวของมันเอง ทั้งพื้นผิว สี เนื้อสัมผัส ชนิดของหิน ทุกอย่างล้วนผ่านกาลเวลามายาวนาน ถึงแม้การบูรณะจะไม่ได้ทำให้โบราณสถานแต่ละแห่งกลับไปสวยสมบูรณ์ดังเดิม แต่นั่นก็มากพอให้เราได้สัมผัสกับอารยธรรมในสมัยก่อนได้มากทีเดียว ปราสาทหินสระกำแพงน้อยอยู่ในความดูแลของสำนักศิลปากรที่10 นครราชสีมา ซึ่งเป็นหน่วยงานภูมิภาคที่รับผิดชอบของกรมศิลปากร โทร.0 4447 1518 , 0 4448 1024 หากต้องการข้อมูลโบราณสถานในประเทศไทยเพิ่มเติมสามารถเข้าไปดูได้ที่ http://www.finearts.go.th/ ภาพประกอบบทความ : พริกเผ็ด(ผู้เขียน)