ในเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง มักจะมีแลนด์มาร์คเด่น ๆ ให้คนจดจำ และอยากไปเยือน อันที่จริง ไม่แน่ใจว่าเพราะเป็นเมืองที่มีชื่อเสียง จึงมีการสร้างแลนด์มาร์คขึ้น หรือเพราะว่ามีแลนด์มาร์คที่มีชื่อเสียง เมือง ๆ นั้นจึงกลายเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวตั้งเป้าหมายไปเยือน แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของแลนด์มาร์ค มันทำให้เมืองมีจุดสนใจ และทำให้ใคร ๆ ก็อยากมาเยือน ที่ร้อยเอ็ดก็เช่นกัน ร้อยเอ็ดเป็นจังหวัดใหญ่แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ตอนกลางของภาคอิสาน เป็นเมืองที่มีความเจริญ ประชากรอยู่อาศัยเยอะ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ทุกวันนี้ร่องรอยความเจริญในอดีต ที่สะท้อนให้เห็นความเป็นเมืองสำคัญ ยังเห็นเด่นชัดก็คือคูเมืองลักษณะสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ และชื่อสาเกตุนคร ชื่อโบราณของเมือง ยังมีการหยิบยกมาใช้ในบริบทของประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมอย่างสม่ำเสมอ และล่าสุด ร้อยเอ็ดได้สร้างแลนด์มาร์คแห่งใหม่เอาไว้ที่ใจกลางเมือง เป็นหอชมเมือง ความสูง 101 เมตร ตามชื่อจังหวัดร้อยเอ็ด ด้วยสถาปัตยกรรมรูปโหวด เครื่องดนตรีพื้นบ้านอิสานชนิดเป่า ที่เราคุ้นเคย ด้วยความสูงเทียบเท่าตึก 35 ชั้น หอโหวด จึงกลายเป็นแลนด์มาร์คที่โดดเด่น มองเห็นแต่ไกล เมื่อมีโอกาสได้มาเยือนร้อยเอ็ด ผมจึงไม่พลาดที่จะไปเยี่ยมชมวิวเมืองร้อยเอ็ดที่หอโหวด ที่ตั้งของหอโหวดอยู่ใจกลางเมือง บริเวณบึงพลาญชัย บึงที่เจ้าเมืองในสมัยโบราณ ให้ราษฎรและไพร่พลขุดขึ้นมาไว้กลางเมือง เพื่อเป็นแหล่งน้ำไว้ใช้สอย หากมีการศึกสงครามถูกข้าศึกล้อมเมืองไว้ ก็สามารถตั้งรับทำศึกในเมืองได้ โดยไม่ขาดแคลนน้ำ ดังนั้นการมาเยี่ยมชมหอโหวด จึงสามารถมาเที่ยวบึงพลาญชัยได้ในจุดเดียวกัน เมื่อมาถึงหอโหวด ผมทึ่งในความสูง ความคิดสร้างสรรค์ และความกล้าลงทุนลงแรงของทางจังหวัด เพราะนี่ไม่ใช่โครงการเล็ก ๆ เลย หอโหวดสูงมาก และเป็นแลนด์มาร์คที่โดดเด่นจริง ๆ ยิ่งเมื่อคำนึงถึงอาคารส่วนใหญ่ในเมืองร้อยเอ็ด ที่ยังไม่มีอาคารสูงมากนัก หอโหวดยิ่งโดดเด่นมาก เมื่อมาถึงหอโหวด ก็เข้าไปซื้อบัตรเที่ยวชมภายในหอโหวด และเดินตามเจ้าหน้าที่เพื่อไปขึ้นลิฟต์ ระหว่างทางก็ผ่านนิทรรศการความเป็นมาของหอโหวด จากนั้นก็ขึ้นลิฟต์ไปยังจุดชมวิวด้านบน ซึ่งที่นี่มองเห็นเมืองร้อยเอ็ดได้ครบทั้ง 360 องศา และวิวด้านบนสวยงาม มองเห็นเมืองร้อยเอ็ดได้ไกลสุดลูกหูลูกตา และถ้าชมวิวด้วยตาเปล่ายังไม่สะใจ หอโหวดก็มีกล้องส่องทางไกลไว้ให้บริการด้วย และที่สำคัญที่สุดและไม่ควรพลาด คือการไปลองสัมผัสความเสียวซ่าน ของสกาย วอล์ค ที่มองลงไปด้านล่างเห็นคนตัวเท่ามด อันนี้สุดยอดจริง ๆ และที่ด้านบนสุดยังเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปสำคัญ พุทธพิมานมงคล แต่เสียดายที่เป็นพื้นที่ห้ามถ่ายรูป หากเพื่อน ๆ อยากเห็นคงต้องเดินทางมาดูด้วยตาแล้วหล่ะครับ แล้วผมก็จบการเยี่ยมชมหอโหวด ไปด้วยความรู้สึกประทับใจ และอยากหาโอกาสกลับมาเยี่ยมชมหอโหวดในยามค่ำคืนอีกสักรอบ อยากเห็นเมืองร้อยเอ็ดในยามราตรี ที่มีแสงไฟยามค่ำคืนว่ามุมมองจะสวยงามขนาดไหน หากมีโอกาส เดี๋ยวเขียนให้อ่านกันนะครับ เรื่องและภาพโดย : Gene