เชื่อว่าในใจของทุกคนก็คงกำลังคิดเหมือน ๆ กัน ว่ามันใกล้ตัวเราเข้ามาทุกที ๆ แล้วสำหรับเชื้อไวรัสสุดอันตรายอย่าง “โควิด–19” หลังจากพบผู้ติดเชื้อรายแรกในเมืองอู่ฮั่นสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อช่วงปลายปี ค.ศ. 2019 ผ่านมา 3 เดือน ในที่สุดไวรัสดังกล่าวก็ได้เดินทางมาถึงเมืองโคราชเรียบร้อย โดยข่าวล่าสุดเมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมาพบผู้ติดเชื้อที่ยืนยันแล้ว 2 ราย! เป็นผู้ป่วยเพศหญิงทั้งคู่ เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชจังหวัดนครราชสีมา วันนี้ผู้เขียนจึงอยากจะมาบอกเล่าถึงสถานการณ์ในตัวเมืองโคราชว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง ณ ปัจจุบัน เมื่อพี่น้องประชาชนในตัวเมืองโคราชเริ่มรู้ข่าวก็ได้เริ่มมีการออกมากักตุนข้าวสารอาหารแห้งกัน โดยเฉพาะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถึงขนาดในเชลวางสินค้าในห้างดังหมดเกลี้ยงแทบไม่เหลือหลอ มาม่า ปลากระป๋องหายหมด ผู้เขียนได้มีโอกาสสอบถามพนักงานแคชเชียร์เล่าว่าตลอดทั้งวัน มีผู้คนออกมากักตุนอาหารเป็นจำนวนมาก ขยับไปดูห้างดังเก่าแก่ประจำจังหวัดที่โดยปกติแล้วผู้คนพลุกพล่านแทบจะหาที่จอดรถไม่ได้ แต่ตอนนี้แทบจะหาคนเดินไม่ได้เลย แม่ค้าบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยเงียบแบบนี้มาก่อนขายของกันไม่ได้เลย โรงภาพยนตร์เองก็ถูกสั่งปิดบรรยากาศหน้าโรงภาพยนตร์เงียบเหงาปิดไฟมืด ช่างเป็นภาพที่แปลกตาจริง ๆ ร้านค้าตามตลาดก็มีคนออกมาเดินน้อยลงมาก ๆ ร้านค้าหลายร้านยอมปิดร้านดีกว่าขาดทุนเพราะไม่มีคนซื้อ โรงเรียนและมหาวิทยาลัยก็ถูกสั่งปิดเรียน โดยเฉพาะ "มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี" ที่เลื่อนเปิดเทอมมาแล้วถึง 3 ครั้ง เนื่องจากไม่มั่นใจในสถานการณ์ของไวรัส จนสุดท้ายทางมหาวิทยาลัยต้องตัดสินใจให้นักศึกษาเรียนผ่านอินเทอร์เน็ตที่บ้านแทนการมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเพื่อลดความเสี่ยงลง ย่านสถานบันเทิงของเมืองโคราชอย่าง “ซอย 30 กันยา” ซึ่งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยหลายแห่งในตัวเมือง โดยปกติแล้วเป็นซอยที่วุ่นวายไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์ของวัยรุ่น เพราะที่มีร้านเหล้าตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอยมากกว่า 10 ร้าน เรียกว่าดึกดื่นค่อนคืนก็ไม่เคยหลับไหล แต่ตอนนี้เงียบเหงาวัยรุ่นหายหมด นับว่าเป็นสถานการณ์ที่ประเทศไทยเราไม่เคยเจอมาก่อนจริง ๆ นะครับ ผู้เขียนก็ฝากทุกคนช่วยกันรับผิดชอบต่อสังคม ถ้าใครมีอาการป่วยก็รีบไปหาหมอหรือกักตัวอยู่แต่ในบ้านเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ หมั่นล้างมือกันบ่อย ๆ ใส่หน้ากากอนามัยเวลาออกจากบ้าน (ถ้าหาซื้อได้นะครับที่โคราชเองก็ไม่มีขายแล้ว) แล้วเราคนไทยจะก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน สู้ ๆ ครับ เครดิตภาพโดยผู้เขียน “แอมมี่คุง”