ปีนี้ ร้อนและแล้งได้ใจจริงๆ แดดออกมาแต่ละวันเหมือนมีพระอาทิตย์ 7 ดวงช่วยกันส่องมาที่บ้าน นาน ๆ จะมีลมพัดมาวูบใหญ่พอให้ชื่นใจสักครั้ง วันนี้ดูแปลกไปกว่าทุกวัน มองไปทุกทิศทางมีเมฆขาวเหมือนภูเขาก่อตัวเป็นกำแพงเรียงรายสุดขอบฟ้า มองไปทางไหนก็มีแต่เมฆ เมฆและเมฆ หรือนี่คือสัญญาณบอกว่า ได้เวลาแล้ว คำพูดพ่อก้องเข้ามาในความคิดผม “ไม่ต้องสอย เก็บอันที่หล่นนั่นแหละ เอามาแค่พอกิน” ตามคาดเลย ลมมาชุดใหญ่ กิ่งไม้ผุ ๆ หล่นตุ๊บตับ ใบไม่ร่วงปลิวไหลกองรวมกันที่ริมรั้วตามแรงลมเหวี่ยงพาไป ผมนั่งมองไปที่ต้นไม้ใหญ่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ยืนต้นต้านแรงลมอยู่ที่ปลายทุ่งนา ปลายกิ่งเหวี่ยงไปมาเหมือนปัดป้องลดแรงลมไม่ให้ปะทะแรงนัก ลูกกลมๆที่ยึดกันเป็นพวง เด้งขึ้นเด้งลงเหมือนกำลังเล่นกระโดดเชือก “ตุ๊บ ตุ๊บ ตะรุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ” นั่นไง เสียงอะไรบางอย่างหล่นจากที่สูงส่งเสียงทุ้มเบาแต่หนักแน่นแทรกผ่านเสียงลมพายุมาเป็นระยะ จังหวะเสียงห่างบ้างถี่บ้างตามแต่แรงลมที่กระแทกใส่ ผมไม่รอช้า มือคว้าถังใบเขื่องที่วางไว้ข้างตัว วิ่งเลาะริมสระก่อนจะเร่งฝีเท้าวิ่งบนคันนาไปที่ต้นเสียงนั่น มันคือ ต้นมะม่วงป่าขนาดใหญ่ แถวบ้านผมเรียกว่า สวายกะลอน หรือ มะม่วงกะล่อน นั่นเอง ที่อื่น ๆ คงเรียกชื่อต่างออกไปตามที่ตนเองรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นมะม่วงกวาง มะม่วงกะสอ มะม่วงบายโบก มะม่วงเบา มะม่วงน้อยหรืออะไรก็แล้วแต่ หลายคนที่มีประสบการณ์ได้ชิมมะม่วงชนิดนี้ คงจะจำกลิ่นหอมเย็นของลูกที่สุกงอมแล้วได้ มันเป็นความหอมของผลไม้สุกตามธรรมชาติ ตามป่าตามเขา ที่ปราศการปรุงแต่งเหมือนมะม่วงตลาดทั่วไป แม้เนื้อในจะน้อย เม็ดจะใหญ่ แต่ก็หวานอร่อย เปลือกบางและนุ่มกินได้ไม่ฝาดนัก เอาไปทำอาหารได้ทั้งคาวและหวานอยู่ที่ใครจะรังสรรค์เมนูอะไรได้ทั้งนั้น ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมถึงไม่ไปสอยมากิน ในเมื่อเราก็รู้อยู่แล้วว่ามันสุกตอนไหน ทำไมต้องรอลมรอฝนทำให้มันตกลงมาถึงจะเก็บกินได้ พ่อเคยบอกผมว่า .....สมัยก่อนมะม่วงกะล่อนที่มีลูกให้กิน ส่วนมากจะต้นสูงใหญ่ แถมกิ่งยังเปราะอีกต่าง จะขึ้นไปเก็บกินนั้นไม่ง่าย ลูกอ่อนหรือดิบก็ไม่นิยมกินเพราะมันเปรี้ยวมาก อีกอย่างลองสังเกตดูนะ ลูกที่สุกและหล่นลงมานี่คือ ลูกที่พร้อมจะให้เรากินแล้ว มันสุกเต็มที่ มันหอมมากและไม่ฝาด บางอย่าง เมื่อจังหวะและเวลามันสอดคล้องกัน ความพร้อมหรือความเหมาะสมจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ และมักจะงดงาม มีคุณค่า เมื่อเราติดนิสัย ด่วน เร็ว ไม่รู้จักรอ ไม่อดทนมากพอ สัมผัสของเราที่มีต่อธรรมชาติรอบกายก็จะหยาบทึบและขาดวิ่นในที่สุด….. ผมก้มเก็บผลมะม่วงกะล่อนที่สุกแล้วใส่ลงในถังอย่างช้า ๆ จับพลิกดู เลือกเอาบางลูกที่ควรเอา และปล่อยบางลูกไว้อย่างนั้น ในยามนี้ มะม่วงทุกลูกสำคัญ บางลูกคือหน่อเนื้อเชื้อไขของต้นแม่ที่ต้องแทงรากเติบโตสานต่อชีวิตของแม่และบรรพบุรุษเอาไว้ บางลูกจะกลายอาหารประทังชีวิตของสัตว์ตัวเล็กตัวใหญ่ทั้งในป่าแถบนี้และมาจากที่อื่น บางลูกจะเป็นอาหารอาหารมื้อสำคัญของชาวบ้านบางคนที่เฝ้ารอเหมือนผมวันนี้ การกักตุนไม่ได้ทำให้เรารอดครับ เราจะรอดก็ต่อเมื่อเรารู้จักแบ่งปันเท่านั้น และพายุเอง ก็ไม่ได้น่ากลัวหรือเลวร้ายเสมอไป....ขอให้ทุกคนโชคดีครับ ขอบคุณภาพถ่ายจาก จารย์ตรัย ไขรหัสกรร