ตั้งแต่มี พรก.ฉุกเฉิน วันนี้เป็นวันแรกที่ผมออกนอกบ้านไปที่ตลาดแห่งเดียวในหมู่บ้านที่เปิดให้ชาวบ้านได้มาจับจ่ายใช้สอยตามปรกติ สาเหตุเพราะผมติดตามข่าวสารการควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ของจังหวัดนครราชสีมาพบว่า มีตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นศูนย์เป็นวันที่ 17 ติดต่อกันโดยในเขตอำเภอที่ผมอาศัยอยู่ก็ไม่มีผู้ติดเชื้อเลย มีเพียงยอดผู้ต้องสงสัยเข้าเกณฑ์ต้องตรวจหาเชื้อจำนวน 16 คน ไม่พบเชื้อ 15 คน รอผลตรวจ 1 คน และไม่มีผู้ติดเชื้อเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งคนที่ต้องถูกกักตัวให้ดูแลตัวเองที่บ้านและต้องมารักษาอยู่ในโรงพยาบาลก็ไม่มีเช่นกัน จากนวนผู้ถูกคัดกรองทั้งหมด 2,124 คน ปรากฏการณ์ดังกล่าว ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า มีเหตุปัจจัยอะไรในชุมชนบ้างหรือเปล่าที่อาจส่งผลด้านบวกไปสู่อำเภอและจังหวัดอย่างนี้ ผมจึงลงพื้นที่ตลาดประจำหมู่บ้านเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยเสริม จริง ๆ แล้วตลาดแห่งนี้ ผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อของส่วนใหญ่มาจาก 5 หมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่ติดกันกว่า 1,217 หลังคาเรือน ประชากรทั้งหมด 4,196 คน โดยมีคนมาตลาดวันละ1,000 คนเป็นอย่างน้อย สิ่งที่เห็นชัดเจนในพื้นที่ของตลาดตั้งแต่มีการประกาศพรก.ฉุกเฉิน และการที่ภาครัฐรณรงค์ให้สถานที่ที่มีคนพลุกพล่านจะต้องมีเจลแอลกอฮอล์ล้างมือหรือสบู่ล้างมือ ผมก็พบว่า อุปกรณ์ทั้งสองอย่างนี้ยังอยู่ในจุดที่ตั้งไว้ครบเช่นเดิม คนที่เดินเข้าออกตลาดยังคงให้ความร่วมมือด้วยการล้างมือแทบจะทุกคน และทุกคนก็ใส่หน้ากากอนามัยแม้ส่วนใหญ่จะทำจากผ้าก็ตาม ระยะห่างกันของแม่ค้าแต่ละร้านก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดคือ 1-2 เมตร แต่ก็อาจจะมีบางแผงที่ใกล้กันกว่านั้น นั่นเพราะเป็นคนในครอบครัวเดียวกันที่มีแผงติดกัน อย่างไรตาม ด้วยความที่ทุกคนต้องล้างมือก่อนเข้ามาในตลาดเสมอ และยังมีหน้ากากอนามัยใส่กันทุกคน ก็น่าที่จะช่วยให้ลดพื้นที่การกระจายเชื้อไวรัสลงได้ ถ้าเกิดมีผู้ติดในตลาดของหมู่บ้านแห่งนี้ นอกจากนั้น อีกมาตรการหนึ่งที่ผมเห็นมาตั้งแต่แรกประกาศพรก.ฉุกเฉินจนถึงปัจจุบันก็คือ ตลาดสดแห่งนี้เปิดให้คนเข้าและออกตลาดเพียงแค่ช่องทางเดียวเท่านั้น ด้วยการขึงเชือกสีแดงรอบตลาดและติดกระดาษไว้เป็นระยะ ๆ แม้ว่าช่วงหลังจะมีร้านค้ามาเปิดเพิ่มอยู่โซนด้านนอกซึ่งอยู่ตรงข้ามของตลาดสดหมู่บ้านก็ตาม แต่พ่อค้าแม่ขายทั้งเจ้าเก่าและมาใหม่ทุกคนก็ยังคงให้ความใส่ใจและร่วมมือด้วยการใส่หน้ากากอนามัย วางเจลแอลกอฮอล์ไว้ให้ล้างมือและติดป้ายประชาสัมพันธ์ชัดเจน ผมได้คุยกับชาวบ้านบางคน เขาบอกตรงกันว่า ทุกคนตระหนักในความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นหากตัวเองหรือคนใกล้ติดต้องติดเชื้อ นั่นเพราะไม่ใช่แค่เสียสุขภาพตัวเองเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบด้านลบถึงรายได้ ความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชนด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้ชาวบ้านตระหนักและให้ความร่วมมือมากขึ้น เอาเข้าจริง ผมว่าอีกมาตรการหนึ่งที่ช่วยให้เกิดปรากฎการณ์ด้านบวกก็คือ ทุกสัปดาห์ผู้ใหญ่บ้านจะประชาสัมพันธ์ผ่านหอกระจายข่าวอยู่เสมอ เจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน(อสม.)ก็แวะเวียนเข้ามาสอบถามข้อมูลสุขภาพของผู้สูงอายุบ่อยขึ้น การที่ชาวบ้าน ทั้งคนมาซื้อและคนมาค้าขาย ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ทั้งผู้ใหญ่บ้านและเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน(อสม.)ร่วมมือกันทำงานในพื้นที่ สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์และข้อมูลจากพื้นที่จริงส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้ไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในเขตอำเภอที่ผมอยู่และส่งผลให้จังหวัดนครราชสีมาไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น โดยตัวเลขยังคงเป็นศูนย์ตลอด 10 วันที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ความร่วมมือและเอาใจใส่ด้านสุขอนามัยเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้ง่าย ๆ ในสถานการณ์ปกติทั่วไป แต่พอมีวิกฤตจากไวรัสโควิด-19 ขึ้นมา ทำให้คนในชุมชนเห็นหัวจิตหัวใจความเป็นเพื่อนบ้านความเป็นกัลยาณมิตรและมีความร่วมไม้ร่วมมือมากขึ้น คล้าย ๆ คำพังเพยที่ว่า “น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า” ผมว่านี่แหละคือความเข้มแข็งของวิถีชุมชน ที่พร้อมจะดูแลตนเองและเป็นส่วนหนึ่งในการที่จะดูแลสังคมและประเทศชาติโดยภาพรวมต่อไป ภาพประกอบทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน : อนุญาตให้ใช้เพื่อการศึกษาได้ฟรี