สำหรับความท้าทายในตอนนี้ ผมจะขอเล่าถึงการลงงานวิ่งระยะฮาล์ฟมาราธอน 21 กม. ซึ่งเป็นงานวิ่งระยะฮาล์ฟ ครั้งที่ 3 และเป็นงานวิ่งที่ 8 ของผม นั่นคือ Korat Powdurance 2019 เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2562 ที่ผ่านมา การวิ่งระยะฮาล์ฟครั้งที่ 3 ของผม เว้นระยะจากการวิ่งฮาล์ฟครั้งที่ 2 เพียงสัปดาห์เดียว ก็คือ วันที่ 3 มี.ค. 62 ผมผ่านระยะฮาล์ฟ 21 กม. ที่สนามเขาใหญ่ ในงานยูนิค รันนิ่ง สนามสุดท้ายของซีรีย์นี้ และสามารถทำ New PB ที่สนามนี้ได้ โดยทำเวลาได้ 1:58:23 ชม. เป็นการวิ่งระยะฮาล์ฟครั้งที่ 2 แต่ทำเวลาต่ำกว่า 2 ชม. ได้ ถือว่าเพอร์เฟ็ค และต้องมาวิ่งระยะฮาล์ฟในสัปดาห์ถัดไปอีก ถือว่าหนักสำหรับผม เพราะเพิ่งลงงานวิ่งมาได้ไม่กี่เดือนเอง กลับมาที่การวิ่งระยะฮาล์ฟครั้งที่ 3 ของผม ก่อนถึงวันงานเพียง 5 วัน.. หรือหลังจากงานวิ่งที่เขาใหญ่เพียง 2 วัน ผมป่วย!.. น้องที่ทำงานผมป่วย เข้าโรงพยาบาล หลังจากน้องกลับมาทำงาน ผมติดไข้หวัดจากน้องที่ทำงาน เย็นวันพุธ หลังเลิกงาน ผมรู้ตัวเองดีว่า อาการมันไม่สู้ดีนัก อาการมันเริ่มตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว ผมตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาล เมื่อไปถึง และได้คิวตรวจ บอกอาการหมอ.. จากนั้น หมอขอตรวจไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เอาแล้ว.. หลังจากตรวจเสร็จ ภาวนา.. ขออย่าให้เป็นไข้หวัดใหญ่ ผลปรากฎว่า.. เป็นไข้หวัดธรรมดาครับ เฮ้อ.. โล่งอก.. กลับบ้านมาในสภาพที่.. หมดสภาพเลยครับ วันรุ่งขึ้น ผมต้องลาป่วย นอนพักฟื้นอยู่บ้าน วันถัดไป ผมไปทำงาน และคุยกับน้องที่มันป่วย คือ น้องมันไม่ได้บอกอะไร ว่าป่วยขนาดไหน หมอตรวจอะไร แต่พอผมถามไป ปรากฎว่า อาการผมเป็นเหมือนน้องที่ทำงานเลย หมอขอตรวจเหมือนกันเลย และที่สำคัญ น้องมันมาทำงานโดยที่ไม่ใส่หน้ากากอนามัย มานั่งทำงานอยู่ในห้องเดียวกันในห้องเล็ก ๆ เพราะอยู่ฝ่ายงานเดียวกัน ชัดเจน มันเอาเชื้อมาแพร่ใส่ผม.. วีรกรรมน้องผมยังมีอีกเยอะครับ นี่แค่ส่วนนึงเท่านั้น 😄😄 วันที่ 8 มี.ค. 62 วันที่ไปรับ Race Pack ในงาน Expo ณ สนามกีฬา 80 พรรษาฯ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานวิ่ง ผมก็ไปในสภาพของคนป่วยนี่ล่ะครับ รับของเสร็จ เดินดูของในงานซักแป๊ป แล้วก็กลับบ้านครับ ไม่มีอารมณ์มาถ่ายเซลฟี่บรรยากาศภายในงานแล้วล่ะครับ ผมต้องรีบกลับมานอน และทำให้ร่างกายอบอุ่นที่สุดล่ะครับ ทำทุกอย่างเพื่อให้อาการดีขึ้น แน่นอนครับว่า.. ผมจะไปวิ่ง ยังไงก็จะไปครับ เช้าวันงานวิ่ง 10 มี.ค. 62 ผมต้องไปถึงสนามก่อนตี 4 ครับ โชคดีที่สนามกีฬาอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ เมื่อไปถึง ผมก็นั่งพักก่อน และทำการอบอุ่นร่างกายเพื่อเตรียมพร้อมในการวิ่ง ระหว่างอบอุ่นร่างกาย บอกเลยครับว่า ผมมีอาการปวดหัวหนักมาก จะไหวมั้ยเนี่ย.. ได้เวลาปล่อยตัว 04.30 น. ผมก็ค่อย ๆ วิ่งออกไปจากจุดสตาร์ท วิ่งไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งช่วง กม. ที่ 7 เริ่มปวดหัวหนักขึ้น เริ่มมีอาการมึน แรงเริ่มตก เริ่มมีคำถามมากมายเข้ามาในหัว นี่เรามาทำอะไรที่นี่ เราควรนอนอยู่บ้านมั้ย เรามาวิ่งทำไม เราจะวิ่งต่อได้มั้ย นี่เพิ่งแค่ 7 กม. เอง ยังเหลือระยะทางอีกยาวไกลเลยนะ กว่าจะถึงจุดหมาย 21 กม. เลยนะ จะไหวมั้ย.. เฮ้ย.. เราต้องไหวสิ เราออกมาวิ่งแล้ว เราต้องวิ่งไปให้ถึงจุดหมายปลายทางสิ สัปดาห์ที่แล้วเรายังทำ New PB ได้เลยนะ วันนี้เราอาจจะทำ New PB ไม่ได้ แต่เราต้องวิ่งให้จบนะ ว่าแล้ว ก็มีแรงฮึดกลับมาครับ แล้ววิ่งต่อไปเรื่อย ๆ มาถึงช่วง กม. ที่ 16-17 วิ่งมาบรรจบที่ถนนสาย 304 ต้องมาเจอกับกองทัพนักวิ่งระยะ 10 กม. ซึ่งมีเยอะมาก วิ่งลำบากครับ จะแวะเข้าจุดแจกน้ำยังลำบาก เพราะจำนวนคนที่เยอะมาก ตากล้องก็มีอยู่เป็นระยะ แต่ตอนนี้ผมบอกเลยว่า ผมไม่สนใจกล้องแล้วล่ะครับ ผมอยากไปถึงจุดหมายปลายทางละ ผมเหนื่อย เข้าสู่ กม. ที่ 20 ช่วงสุดท้าย วิ่งกลับเข้ามาภายในสนามกีฬาฯ มาเจอคนวิ่งปาดหน้า มาจากไหนไม่รู้ เกือบจะชนผม ผมเสียหลักไปนิดหน่อย ไม่เป็นไร วิ่งต่อได้ จากนั้นอีกแค่แป๊ปเดียว มีคนวิ่งปาดหน้ามาอีกคน เป็นผู้หญิง น่าจะมีอายุหน่อย วิ่งปาดหน้ามาเบียดผม เพื่อมาถ่ายรูป ข้างหน้าผมมีตากล้องอยู่คนนึงพอดี แล้วก็ไม่ได้สนใจคนที่วิ่งตามมาเลย ผมนี่อยากจะตะโกนด่าเลยนะครับ แต่.. ตอนนั้นผมสนใจแค่จุดหมายปลายทางเท่านั้น ผมก็วิ่งต่อไปโดยไม่สนใจคนนั้น ขอแค่ให้ถึงเส้นชัยก็พอ และในที่สุดผมก็มาถึงเส้นชัยได้ ด้วยเวลา 2:03:32 ชม. บอกเลยว่า เวลานั้นไม่ได้ขี้เหล่เลยนะครับสำหรับผม ผมสามารถเข้าเส้นชัยได้โดยไม่บาดเจ็บอะไร แต่เหนื่อยมาก ๆ นั่งพักอยู่นานเลยครับ กว่าจะเดินไปหาของกิน ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่า ผมจะทำได้ ทั้ง ๆ ที่อาการป่วยยังไม่หายดี แต่ผมก็ทำได้ เป็นความท้าทายครั้งหนึ่งในชีวิตของผมเองเลยนะ ประสบการณ์ในครั้งนี้ คอยบอกผมเสมอว่า ไม่ว่าจะยังไง ถ้าเรามีความพยายามและไม่ยอมแพ้ตั้งแต่ต้น ความสำเร็จย่อมอยู่ไม่ไกลครับ ครั้งหนึ่งที่อติสามารถทำได้ อติ ภาพถ่ายโดยผู้เขียนเองทั้งหมด