อื่นๆ

คนที่เดินอยู่ข้างทาง

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
คนที่เดินอยู่ข้างทาง

ตอนที่ฉันยังเป็นเด็กอายุสัก 15 ได้ ตอนนั้นพ่อกับแม่เคยพาฉันไปงานแต่งงานของญาติแถวนครนายก ซึ่งตอนกลับพ่อเลือกจะกลับทางเขาใหญ่ด่านเนินหอมเพราะจากบ้านของญาติมันใกล้ที่สุดและสามารถถึงอำเภอปากช่องได้เร็วที่สุด ตอนนั้นน้าโอ น้าของฉันไปด้วยและด้วยของฝากจากญาตินั้นมีมากมายเหลือเกินและคนรู้จักก็ขอติดรถกลับบ้านด้วยเพราะรถเขาเต็มทั้งคนเต็มทั้งของ น้าโอจึงตัดสินใจมานั่งข้างหลังซึ่งเป็นกระบะเพื่อเฝ้าของไปในตัว ฉันเองก็รู้สึกอึดอัดจึงขอมานั่งหลังกระบะกับน้าโอด้วย โดนแม่ว่าไปเยอะเหมือนกัน ดีที่น้าโอช่วยพูดให้ฉันได้นั่งข้างหลังด้วย

เมื่อตกลงกันได้เสร็จสรรพ ฉันจึงเลือกไปนั่งชิดมุมกระบะรถเพื่อจะได้ดูวิวภูเขาให้เต็มที่ จากเขตตึกรามบ้านช่องเริ่มค่อยๆลดละหายไปก่อนจะเข้าสู่เขตเขาใหญ่ ฉันก็ได้ดูบรรยากาศสองข้างทางสมใจแถมยังได้เห็นช้างตัวเป็นๆด้วย ตอนนั้นรู้สึกว่าอากาศและลมที่พัดผ่านตัวนั้นไม่ได้หนาวเลยแต่เย็นสบายเสียด้วยซ้ำอาจเพราะเป็นตอนเย็นๆพอดี

Advertisement

Advertisement

ทิวเขารวมถึงทางที่ชันบ้างเล็กน้อยทำให้ฉันได้ซึมซับความงดงามของป่าไม้และสัตว์ป่าไว้มากมาย กว่าจะรู้ตัวก็รู้สึกถึงพระอาทิตย์ที่คล้อยต่ำลงจนความมืดเข้ามาแทนที่จนเห็นดาว อุณหภูมิบวกกับความเร็วของรถที่พัดผ่านผิวกายของฉันก็ยิ่งทำให้ฉันต้องเอาเสื้อกันหนาวมาใส่อย่างยากลำบากเพราะมันชอบปลิวเรื่อย พอใส่เสื้อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รู้สึกอุ่นลงจะหนาวก็แต่หน้าที่ยังเอาไปปะทะกับลมอยู่เรื่อย

"เขาใหญ่มีผีหลายเด้อฮู้บ่" นั่นไง คนนั่งกินลมชมวิวอยู่ดีๆน้าโอก็เริ่มเปรยหนังตัวอย่างให้ได้ยินทันทีบวกกับท้องฟ้าที่เริ่มโพล้เพล้ก็ยิ่งทำให้ฉันเริ่มกลัวหน่อยๆ

"โอ๊ย น้าจะพูดทำไมเนี่ย" ฉันก็บอกไปอย่างนั้นก่อนจะหันไปดูป่าไม้เช่นเดิม "ถ้ามีผีขอให้น้าเจอเด้อ" ฉันบอกไปอย่างนั้นแบบส่งเดชโดยไม่รู้เลยว่าตัวเองทำผิดพลาดไปแล้ว

"ฮ่วย เข้าป่ายามกลางคืนเขาบ่ให้ท้าทายเดี๋ยวสิพ่ออีหลีเด้อ" น้าก็พูดตอบกลับมาโดยที่ฉันได้แต่แอบรู้สึกผิดในใจแต่คำพูดมันก็ออกปากไปแล้วจะเอากลับมาก็ไม่ได้จึงขอนั่งอยู่อย่างนั้นเงียบๆแล้วกัน

Advertisement

Advertisement

ฉันจำได้ว่าพอพ่อขับผ่านโค้งๆหนึ่งที่ชันๆมาลมหนาวก็พัดวูบเข้าหน้าทันทีแต่ครั้งนี้มันไม่ใช่แค่รู้สึกหนาวธรรมดาแต่มันเย็นยะเยือกเข้ากระดูกเลยด้วยซ้ำ ดูเหมือนน้าโอก็รู้สึกเช่นเดียวกัน หันมองไปด้านหลังก็ไม่เห็นรถตามมาสักคัน ข้างหน้าก็ไม่มีรถวิ่งนำ

สรุปว่ามีแค่รถของพ่อวิ่งอยู่คันเดียว...

ถนน ภาพโดย Robert Balog จาก Pixabay

ตอนนั้นฉันคิดในแง่ดีว่าเพราะกำลังจะมืดประกอบกับขึ้นเขา อุณหภูมิมันก็ต้องต่ำเป็นธรรมดาไม่ได้ผิดปกติเลยแต่ว่าลมหนาวที่พัดมาวูบนั้นมันมาแค่วูบเดียว วูบเดียวที่รู้สึกแบบนั้นพอพ้นจากตรงนั้นก็หนาวเหมือนเดิม

จะแปลกก็ตรงใจที่มันหวิวๆอย่างไรก็ไม่ทราบได้

"บ่แม่นแล้วเด้อ มันคือเป็นตาย่านแท้หั่นนี่" น้าโอโพล่งขึ้นพลางเอาสวมหมวกเสื้อกันหนาวอย่างรวดเร็ว แต่ฉันก็ยังคิดในใจสะกดจิตตัวเองว่าไม่มีอะไรเหมือนเคย ลมพัดกิ่งไม้และใบไม่หวีดหวิวอย่างน่าหวาดเสียวลอยมาเสียดหูจนฉันเริ่มคิดไปแล้วว่ามันเป็นเสียงผู้หญิงร้องโหยหวนอยู่

Advertisement

Advertisement

คราวนี้ฉันก็ค่อยๆเคลื่อนตัวไปนั่งพิงกระจกหลังรถข้างน้าโออัตโนมัติด้วยความกลัว ทั้งหนาว ทั้งคิดมากไปหมดทันใดนั้นพอจังหวะที่รถเลี้ยวเข้าโค้งหนึ่งฉันก็ต้องตาเบิกกว้างเกือบหลุดร้องตกใจไปแล้วถ้าตัวเองไม่เอามือปิดปากไว้ก่อน

"เ-ีย!!!! " คำอุทานหยาบเบาๆของฉันที่หลุดออกมาในวินาทีนั้น

ป่า ภาพโดย Jordan Stimpson จาก Pixabay

ฉันเห็นผู้หญิงกับผู้ชายคู่หนึ่งในชุดสีหม่นๆไม่สดใสนักผ่านไฟด้านหลังรถของพ่อที่ส่องอยู่เดินคู่กันและความมั่นใจที่ฉันคิดว่าพวกเขาไม่ใช่คนคือเท้าที่มีเหลือแค่กระดูก

ย้ำ! ตรงเท้าเหลือแค่กระดูก

พวกเขาเดินเหมือนคนเดินธรรมดาเหมือนคนธรรมดาจริงๆแต่พอเมื่อแสงไฟสาดไปที่ร่างของทั้งคู่ก็เห็นดวงตากลวงโบ๋ ดวงตาของพวกเขาไม่มีอะไรเลยจริงๆ ตอนนั้นฉันไม่ได้ร้องกรี๊ดหรือโวยวายแต่ตัวเรากลับพูดไม่ออกจนกระทั่งรถของพ่อเลี้ยวโค้งไป ฉันถึงไม่เห็นพวกเขาอีกแต่ในใจก็ผวาไม่หาย ระแวงมองซ้ายขวาหน้าหลังไปหมด ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว

หันไปมองน้าโอที่นั่งอยู่ข้างๆน้าแกหลับไปแล้ว ไม่รู้ว่าหลับไปได้อย่างไรกับการเดินทางแล้วก็บรรยากาศแบบนี้ ไอ้เราจะเคาะกระจกขอกลับไปนั่งข้างในห็ไม่กล้าเพราะกลัวว่าพวกเขาจะเดินมาให้เห็นอีก

ไวเท่าความคิดเมื่อรถของพอเลี้ยวผ่านโค้งไปอีกโค้งคราวนี้ไม่ได้เห็นห่างไกลเลย ชายหญิงคู่เดิมกำลังเดินแบบเดิมเลยอยู่ใกล้เรากว่าเดิมเท่าหนึ่งเลยทีเดียว นาทีนั้นไม่ต้องทำอะไรกันแล้วฉันรีบล้มตัวนอนลงในกระบะหลับตาปี๋อย่างรวดเร็วหยิบอะไรมาคลุมปิดหน้าได้ก็เอามาหมด

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้จนเข้าเขตปากช่องถึงได้ยินเสียงรถสิ่งผ่านไปฉันจึงค่อยลุกขึ้นมาอีกครั้งด้วยด้วยความรู้สึกเดียวเลยคือ โล่งอกที่สุด เมื่อมาถึงที่บ้านจึงได้ขอให้แม่พาไปทำบุญให้พวกเขาเพราะเป็นทางเดียวที่คิดออก และพอเล่าให้ยายกับแม่ฟัง พวกเราทั้งน้าและหลานก็ไม่แคล้วถูกด่าอีกเพราะพูดไม่รู้ที่ไม่รู้เวลาและตั้งแต่ครั้งนั้นเราก็เข็ดไปทั้งชีวิตไม่กล้าพูดท้าทายอะไรแบบนี้อีกเลย

พ่อก็ยังมาบอกอีกว่าไม่เห็นอะไรอยู่ข้างหลังเลยนอกจากความมืด น้าเองก็ไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้เช่นกันหรือว่าทั้งหมดอาจจะเป็นเพราะปากของฉันที่มันพูดอะไรไม่โดยระวัง...

ขอบคุณภาพปกจาก

ภาพโดย Free-Photos จาก Pixabay

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์