หน้ากากอนามัย หมดจริงหรือจกตา ณ มหาสารคาม หน้ากากอนามัยถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องมีในปัจจุบันเพราะปัญหาที่เราต้องเผชิญในทุกวันมันหนักเหลือเกินทั้งปัญหาฝุ่น มลพิษทางอากาศ โรคติดต่อ โดยเฉพาะไวรัสโคโรน่า เป็นต้น เราจึงต้องป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพชีวิตของคนเมืองว่าไม่ได้สุขอย่างที่หลายท่านเข้าใจ โดยการใช้ชีวิตปกติแต่ในหนึ่งวันที่ต้องเห็นผู้คนใส่หน้ากากอนามัย แม้กระทั่งเราเองก็ต้องใส่มันก็น่าหนักใจนะคะ แล้วการใส่หน้ากากอนามัยหลายคนคงจะเป็นเช่นเดียวกันคือ อึดอัด เพราะเราไม่คุ้นชิน แต่ตอนนี้ของมันต้องมีค่ะทุกท่าน! แต่ของจำเป็นขนาดนี้ขาดตลาดได้อย่างไร ภาพจาก pexels เว็บไซค์ : https://www.pexels.com/search/%20Mask/ จากข่าวทุกสำนักต่างนำเสนอปัญหาที่ใหญ่กว่าไวรัสโคโรน่า คือเราเสี่ยงต่อการติดไวรัสโคโรน่ามากเพราะหน้ากากอนามัยขาดตลาด อีกทั้งยังมีการออกมาแฉอีกว่า เมื่อสินค้าเป็นที่ต้องการมากบางร้านค้าหรือบางโรงงานมีการกักตุนสินค้าไว้แล้วค่อย ๆ ปล่อย เพื่อจะขึ้นราคาสินค้าเป็นทวีคูณ ในประเทศอาจจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่ค่ะ แต่ต่างประเทศมีการจับกุมมาแล้วและมีการจัดการขั้นเด็ดขาดดังสำนวนที่ว่า เชือกไก่ให้ลิงดู คือข่าวของห้างยาจีนแห่งหนึ่งในประเทศจีนที่ขายหน้ากากอนามัยแพงกว่าเดิมถึง 6 เท่า จึงโดนปรับถึง 3 ล้านยวนเลยทีเดียว ประเทศไทยมีการจัดการปัญหาหน้ากากอนามัยขาดตลาดอย่างไร วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 ที่ผ่านมามีข่าวจากกรมการค้าภายในออกมาแถลงข่าวเรื่อง การส่งออกหน้ากากอนามัย ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 มีผู้ประกอบการมาขออนุญาตส่งออกหน้ากากอนามัยรวม 40 ราย แต่กรมการค้าไม่อนุญาตและให้จัดส่งภายในประเทศให้เพียงพอก่อน ซึ่งได้ตั้งเป้าขอให้ผู้ผลิตจัดส่งให้วันละ 6 แสนชิ้น โดยกระจายไปที่องค์การเภสัชกรรมวันละ 2 แสนชิ้น การบินไทยวันละ 1.8 หมื่นชิ้น สมาคมร้านขายยาวันละ 2.5 หมื่นชิ้นและกระทรวงพาณิชย์ขายเองวันละ 2 แสนชิ้น ซึ่งดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะมีประโยชน์และช่วยบรรเทาปัญหาไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว แต่! หน้ากากอนามัยเพียงพอจริงหรือ ภาพจาก ผู้เขียน ภาพจาก ผู้เขียน หมดจริงหรือจกตา ณ มหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ถือเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีสถานที่ท่องเที่ยวน้อย ซึ่งส่วนมากคนจากต่างจังหวัดจะเข้ามาเพื่อศึกษาต่อเป็นส่วนใหญ่ เพราะที่นี่มีสถานศึกษามาก จึงถือได้ว่าจังหวัดมหาสารคามไม่ใช่พื้นที่สุ่มเสี่ยงอะไร ใครจะไปคิดว่า ผลกระทบจะเข้ามาถึงเมืองมหาสารคามแห่งนี้ เพราะหากดูวิถีชีวิตตามปกติแล้วทุกคนก็ยังใช้ชีวิตกันตามปกติไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งจากการสำรวจของผู้เขียนเองอยากให้ผลสำรวจออกมาว่า จกตา คือทุกร้านค้า ร้านขายยามีหน้ากากอนามัยขาย แต่ความจริงแล้วจากการสำรวจ 7- 11 มากกว่า 5 ร้านและร้านขายยาอีก 5 ร้านในตัวเมืองจังหวัดมหาสารคามพบว่า “หน้ากากอนามัยหมดจริง” นั่นสะท้อนให้เห็นว่า ถึงแม้ว่าไม่ใช่พื้นที่สุ่มเสี่ยงแต่ผู้คนก็ไม่นิ่งนอนใจและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา หรืออาจจะบอกได้อีกนัยยะหนึ่งคือมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นนี้เท่ากับว่า คุณภาพชีวิตเราแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด จากการสอบถามพนักงาน 7-11 พนักงานบอกว่า หน้ากากอนามัยเพิ่งหมด เพราะจะมีส่งมาในจำนวนจำกัดและทุกครั้งที่วางจำหน่ายจะหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว ส่วนผู้ประกอบการที่ร้านขายยาส่วนใหญ่จะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีของส่งมานานแล้ว ไม่มีของเลย เป็นต้น หน้ากากอนามัยจึงเป็นของใช้ที่จำเป็นอีกชิ้นหนึ่งที่ขาดตลาดในจังหวัดมหาสารคาม จากการสำรวจทำให้นึกถึงพื้นที่สุ่มเสียงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะขนาดเมืองมหาสารคามหน้ากากขาดตลาดเรายังรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยเลย แล้วคนในพื้นที่สุ่มเสี่ยงที่หาซื้อหน้ากากอนามัยไม่ได้ละจะหนักใจแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้ในวันนี้ก็คือ ไม่ว่าคนจะอยู่ ณ สถานที่ใด การดูแลสุขภาพย่อมเป็นเรื่องสำคัญกับคนทุกคน แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรเอาเปรียบผู้บริโภคด้วยการตุนสินค้าเอาไว้ เพื่อขายในราคาแพงนะคะ เราต้องเห็นใจซึ่งกันและกัน เพราะเราคือคนไทยเหมือนกันค่ะ