อื่นๆ

ทูตส่งวิญญาณ

1.7k
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ทูตส่งวิญญาณ

“นกผี” ที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นนกส่งวิญญาณ หรือเป็นตัวแทนแห่งความตายนั้น จะมีหลักๆอยู่ไม่กี่ชนิด นั่นก็คือ อีกาดำ นกฮูก ค้างคาว และนกแสก โดยจากการวิเคราะห์ทางกายภาพคร่าวๆนั้นสิ่งที่ทำให้ผู้คนคิดว่านกเหล่านี้เป็นนกผี อาจจะมีสาเหตุมาจาก สีดำของอีกา หน้าตาและรูปร่างประหลาดของค้างคาว ดวงตากลมโตที่สะท้อนแสงในความมืดของนกฮูก หรือแม้กระทั่งเสียงที่เย็นยะเยือกในตอนกลางคืนของนกแสก ล้วนดูน่ากลัวเมื่อเราประสบพบเจอ ทำให้คนโบราณเชื่อว่านี่คือพาหนะส่งวิญญาณ หรือ ทูตส่งวิญญาณ แต่ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นก็คือ เมื่อนกเหล่านี้ส่งสัญญาณที่ผิดปกติ นั่นอาจจะหมายความว่านั่นคือลางบอกเหตุ

คำแคน เด็กน้อยชาวอีสานผู้ที่มีชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติ ซึ่งเขาภูมิใจและดีใจในความเป็นเด็กบ้านนอกของเขา เพราะมันทำให้เขาไม่ต้องไปเบียดเสียดแข่งขันเหมือนเด็กในเมือง เขารักธรรมชาติ มีชีวิตแบบพอเพียงโดยมีตาของเขาเป็นต้นแบบ “พ่อใหญ่ศร” คือตาของแคน พ่อใหญ่ศรเป็นคนแก่อายุราว 80 ปี มีความเป็นคนโบราณอยู่มากเนื่องจากแกเกิดมาในยุคที่ความเจริญยังเข้ามาไม่ถึงชนบท พ่อใหญ่ศรมักจะสอนแคนให้เป็นคนช่างสังเกตธรรมชาติรอบๆตัว เพราะความเป็นไปของธรรมชาตินอกจากจะช่วยเตือนภัยเราแล้วยังเปรียบเสมือนลางบอกเหตุได้อีกด้วย แกเชื่อว่าไม่ว่ามนุษย์จะเก่งกาจแค่ไหน ก็ไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ เพราะธรรมชาติคือสิ่งที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา ตาจะสอนแคนว่า เมื่อได้ยินเสียงกบเขียดร้องแสดงว่าจะมีฝนตก เมื่อเห็นมดขนไข่ขึ้นที่สูงแสดงว่าฝนจะตกหนักน้ำจะท่วม ถ้ามีลมแรงๆ พัดในหน้าแล้ง หรือที่แกเรียกว่า “ลมซา” นอกจากจะหมายถึงว่าหน้าแล้งกำลังมาแล้ว นั่นอาจหมายถึงจะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้มีคนเสียชีวิตเป็นจำนวนมากเพราะนั่นคือผีห่าลงมากินคน หรือแม้กระทั่งเมื่อมีเสียงนกแสกร้องในยามค่ำคืน นั่นคือจะต้องมีคนตายในหมู่บ้าน เรื่องของนกแสกนี้พ่อใหญ่ศรแกจะมีความเชื่อมากเพราะแกสังเกตมานานและพบว่าเมื่อนกแสกบินผ่านแต่บินสูงแสดงว่าจะมีคนในหมู่บ้านเสียชีวิต หากนกแสกบินต่ำมาเฉียดหลังคาบ้าน แสดงว่าคนที่ตายอาจจะเป็นญาติพี่น้องที่รู้จัก ซึ่งในหมู่บ้านของแคนนั้น จะมีวัดประจำหมู่บ้านซึ่งวัดจะอยู่ ติดกับแม่น้ำสายหนึ่ง มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นตามริมแม่น้ำ โดยไม่มีใครไปตัดหรือทำลายทำให้เป็นที่อยู่ของนกหลายชนิดและกระรอก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือนกแสกที่ทำรังอยู่ที่ต้นไม้ในวัด แคนสังเกตว่านกแสกรังนี้จะไม่ค่อยออกมาร้อง พร่ำเพรื่อให้ได้ยินบ่อยนักนอกจากว่าจะมีเหตุการณ์เหมือนที่ตาบอกไว้จริงๆ

Advertisement

Advertisement

ค่ำคืนวันหนึ่งแคนได้ยินเสียนกแสกร้อง แคว๊กๆ ในยามกลางคืน แต่แคนไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่านั่นคือพฤติกรรมของนก และในเช้าวันต่อมาแคนก็พบว่ามีคนแก่ในหมู่บ้านเสียชีวิตหนึ่งราย และคืนต่อๆมาแคนก็ยังได้ยินเสียงนกแสกร้องติดต่อกันอีกสามวัน แคนสงสัยว่าในเมื่อมีคนตายไปแล้วทำไมนกแสกถึงได้ร้องอยู่ บางทีสิ่งที่ตาเชื่ออาจจะเป็นเพราะตาคิดไปเองมากกว่า จนกระทั่งวันต่อมาแคนพบว่าเมรุเผาศพที่วัดมีงานศพสามงานติด ต่อคิวรอเผา ซึ่งบ้านคนที่ตายคนแรกยังไม่ทันได้เก็บโต๊ะ ก็ต้องยกไปกางอีกบ้าน สรุปว่าที่ได้ยินเสียงนกแสกร้องสามวันติดนั้นมีคนในหมู่บ้านตายสามศพ แคนเริ่มเชื่อว่าสิ่งที่ตาพูดอาจจะเป็นความจริง จนกระทั่งวันหนึ่งในตอนค่ำ ตาพูดกับแคนว่า “แคน เอ็งได้ยินสียงนกแสกหรือเปล่า วันนี้มันบินมาตั้งแต่หัวค่ำเลยเชียว บินมาพร้อมกันตั้งสามตัว ดูท่าจะไม่ดีแล้ว” เมื่อตาพูดจบแกจึงเดินไปสวดมนต์ไหว้พระตามปกติก่อนนอน ในช่วงบ่ายของวันต่อมาชาวบ้านต่างลือกันว่าหลวงปู่ที่เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดประจำหมู่บ้าน ท่านมรณภาพแล้วที่โรงพยาบาล อันที่จริงแคนได้ยินข่าวมาว่าหลวงปู่ท่านอาพาธมาได้ระยะหนึ่งแล้ว จนมาได้ยินข่าวอีกครั้งว่าท่านมรณภาพ แคนจึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ตาศรฟัง แกจึงพูดว่า “ข้าว่าแล้วไง ปกติมันบินมาแค่ตัวเดียวก็มีคนตายแล้ว เมื่อคืนมันบินมาพร้อมกันสามตัวแสดงว่าต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่ๆ เป็นจริงอย่างที่ข้าคิดไว้ไม่มีผิด” แคนฟังตาพูดจบก็รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก เพราะเหตุการณ์นี้ทำให้แคนเริ่มเชื่อในสิ่งเหล่านี้มากขึ้น เพราะพบมาด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แคนจึงถามตาไปว่าทำไมตาถึงได้เชื่อเรื่องนกผีนำวิญญาณนี้นัก ตาจึงเล่าให้แคนฟังว่าเคยมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ตารู้สึกหวาดกลัวทุกครั้งที่นึกถึงเพราะมันเป็นเรื่องภัยพิบัติที่น่าเศร้าที่สุดในประเทศเลยก็ว่าได้ เรื่องราวตอนนั้นแคนอาจจะจำไม่ได้นักเพราะแคนยังเด็ก ในบ่ายแก่ๆวันหนึ่งตาศรออกไปไร่ไปนาตามปกติ ซึ่งที่สวนของตาศรนั้นแกจะขุดสระเลี้ยงปลาและปลูกต้นไม้ต่างๆไว้เพื่ออาศัยร่มเงาในการบังแดด และสร้างกระต้อบเล็กๆไว้สำหรับพักผ่อน วันนี้ลมแรงมากผิดปกติทั้งที่อากาศแห้งแล้งไม่มีพายุฝน ตาศรรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกเมื่อลมแล้งพัดมาปะทะกับแก และยังมีลมหมุนเล็กๆพัดวนอยู่หลายลูก ตาศรนึกในใจว่า ลมแบบนี้ในความเชื่อของแกเหมือนเป็น“ลมซาผีตายโหง” หรือลมที่คล้ายกับว่าเป็นลมส่งข่าวว่าจะมีคนตายเป็นจำนวนมาก ซักพักตาศรสังเกตไปที่สระน้ำแล้วพบว่า ต้นผักตบชวาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำไหลไปรวมกันที่ขอบสระ ซ้ายทีขวาที ทั้งๆที่ไม่มีใครไปยุ่งและเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเคลื่อนไปตามแรงลม เพราะกอผักตบชวามีน้ำหนักมาก นอกจากว่าจะมีคนไปดึงอะไรลากมันจากใต้น้ำ จะว่าเป็นปลาก็ไม่น่าจะใช่เพราะสระของแกไม่มีปลาตัวใหญ่ขนาดนั้น ตาศรรู้สึกถึงความผิดปกติรอบๆตัวของธรรมชาติ มันทำให้แกใจคอไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก แกจึงรีบเก็บของกลับบ้านเพราะนี่ก็จวนจะมืดค่ำแล้ว ตาศรรีบขับรถมอเตอร์ไซต์คันเก่าออกมาจากสวน ซึ่งทางที่จะกลับมาที่บ้านของแกนั้น แกจะต้องขับผ่านวัดป่าซึ่งเป็นป่าช้าที่ติดถนน มีเพียงรั้วกำแพงวัดกั้นอยู่เท่านั้น บรรยากาศในขณะที่ขับผ่านป่าช้า มันช่างรู้สึกเย็นยะเยือกกว่าทุกทีที่เคยขับผ่านมา ระหว่างนั้นตาศรได้ยินเสียงของนกร้องราวกับว่ามันกำลังแตกตื่นกับอะไรบางอย่าง เมื่อแกมองขึ้นไปบนฟ้า แกเห็นฝูงนกแสกประมาณ 10 ตัวบินโฉบผ่านหัวแกไปและร้องเสียงดัง แคว๊ก ๆ ขึ้นพร้อมๆกัน ถึงแม้ว่าตาศรจะเป็นคนไม่กลัวผี แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้แกเริ่มหวั่นใจว่ามันจะต้องเกิดเหตุเภทภัยครั้งใหญ่ขึ้นแน่ๆนี่อาจจะเป็นลางบอกเหตุอะไรบาอย่างสำหรับแก แกจึงรีบขับรถมาที่บ้านให้เร็วที่สุด เมื่อตอนดึกของวันนั้นหลังจากที่แคนนอนหลับไปแล้ว ตาศรรีบจุดธูปสวดมนต์ไหว้พระ พร้อมกับสวดคาถาป้องกันภัยเพื่อคุ้มครองคนในบ้าน วันนี้ถือว่าตาศรสวดมนต์บทใหญ่กว่าทุกวันเลยก็ว่าได้ ก่อนที่จะอธิฐานไปว่า “สาธุ เจ้าที่เจ้าทาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ ณ ที่นี้ ปู่ย่าตายายทั้งหลาย ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ดีใดๆเกิดขึ้น ก็ขอให้ปกป้องคุ้มครองลูกหลานให้ อยู่รอดปลอดภัยด้วยเทอญ สาธุ ” ก่อนจะดับธูปเทียนและเข้านอนไปจนกระทั่งเช้า  วันต่อมาในช่วงเวลาบ่าย ตาศรเปิดข่าวดูตามปกติ สักพักก็มีรายงานข่าวด่วนเข้ามา โดยทางทีวีรายงานว่าเกิดเหตุสึนามิพัดถล่มภาคใต้ราบเป็นหน้ากอง ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติร่วมๆร้อยกว่าศพ จนตอนนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าผู้เสียชีวิตเป็นใครบ้างยังคงต้องรอการชันสูตรอีกครั้ง และยังไม่ทราบเป็นที่แน่นอนด้วยว่าจะมีผู้เสียชีวิตอีกกี่ศพ หรือมีผู้รอดชีวิตอยู่อีกหรือไม่ ตอนนี้ยังคงต้องเฝ้าระวัง After shock ที่จะตามมา เมื่อตาได้ยินข่าวรายงานจบ ตาศรรู้สึกใจหายเป็นอย่างมาก “ลมซาผีตายโหง” ที่แกเชื่อนักเชื่อหนาเกิดเป็นจริงขึ้นมา ลางบอกเหตุของนกส่งวิญญาณที่แกเห็นเมื่อวานก็เป็นจริง แกไม่สงสัยเลยว่านกแสกมันบินมากันเป็นฝูงแบบนั้นเพราะอะไร เพราะมันต้องทำหน้าที่นำวิญญาณไปส่งในที่ที่ควรไป และเหมือนมันจะรับรู้ได้ว่ามีวิญญาณหลายดวงรอมันอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง และสาเหตุที่ทำให้กอผักตบชวาในสระของแกเคลื่อนที่ไปมาในน้ำได้นั้น มาจากแรงสั่นสะเทือนของเปลือกโลกที่ทำให้เกิดสึนามิครั้งนี้นี่เอง ซึ่งพลังงานใต้พิภพบางอย่างคนอาจจะไม่รู้สึกหรือสัมผัสได้ แต่ธรรมชาติเท่านั้นที่รับรู้ถึงพลังของธรรมชาติด้วยกันเองได้ดีที่สุด เมื่อตาศรเล่าเรื่องนี้จบ แคนก็รู้สึกว่าเรื่องบางเรื่องถ้าเราไม่เชื่อก็ไม่ควรไปลบหลู่ความเชื่อของคนอื่น เพราะคนที่เขาเชื่อนั่นก็เพราะว่าเขาเคยสัมผัสมากับตัวเอง นอกจากตาจะสอนให้แคนเชื่อในธรรมชาติแล้ว ตายังสอนแคนเสมอว่า เรื่องบางอย่างถึงเราจะมองไม่เห็น แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีจริง อย่างอากาศที่เราหายใจเราก็ไม่เคยเห็นกับตาว่ามันมีหน้าตายังไง แต่เรารู้ว่ามี รวมถึงเรื่อง ผีสางนางไม้ ความเชื่อ อาถรรพ์ต่างๆนี้ก็เช่นกัน

Advertisement

Advertisement

แต่สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ไม่ได้จะกล่าวหาว่าสัตว์เหล่านี้เป็นลางร้ายแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นความเชื่อโบราณที่เล่าขานกันมาเท่านั้น โปรดอ่านเพื่อความบันเทิงและใช้วิจารณญาณ เพราะโลกจะสงบและสวยงามได้ย่อมมาจากการมีเมตตาธรรมต่อสรรพสัตว์ทุกตัวบนโลก

เขียนโดย โลกา ผี วัฒน์ (facebook โลกา ผี วัฒน์ )

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
โลกาผีวัฒน์
โลกาผีวัฒน์
อ่านบทความอื่นจาก โลกาผีวัฒน์

ปกติชอบเขียนเรื่องผี แต่ตอนนี้เขียนทุกอย่างเพราะป่าช้าปิด

ดูโปรไฟล์

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์