สวัสดีครับบทความนี้ผมจะพามารู้จักกับศัพท์ทางการเงิน ที่เรียกว่า "สภาพคล่อง" คำว่าสภาพคล่อง ถ้าจะอธิบายง่ายๆ ก็ตามชื่อมันเลยครับ "คล่อง" การมีสภาพคล่อง ก็เพื่อที่จะได้ใช้จ่ายได้คล่อง ถึงเวลาจำเป็นต้องได้ใช้เงินก็ไม่เดือดร้อน เงินสดไม่ขาดมือ และก็เจ้าสภาพคล่องนี่แหละ ถือเป็นประตูที่จะเปิดไปสู่ความมั่งคั่งเลยก็ว่าได้ครับ การบริหารสภาพคล่องก็ถือเป็นกระบวนการแรกในกระบวนการวางแผนทางการเงิน บุคคลไม่ว่าใครก็ตาม ควรที่จะต้องมีสภาพคล่องก่อน (*ต้องทำทุกวิธีครับ เพื่อให้มีสภาพคล่อง เพราะชีวิตมันจะได้ไปต่อข้างหน้าได้ แค่นั้นเอง...แม้ว่ามีภาระเยอะ แต่สภาพคล่องก็ต้องสร้าง งงมั๊ยครับ ? เอาเป็นว่าสัดส่วนนี้ มันควรมี และมีให้เหมาะสมครับ)สภาพคล่องมีความจำเป็นกับชีวิตทุกช่วงอายุ เลยก็ว่าได้ครับ เพราะว่าชีวิตเรา ไม่มีช่วงไหนเลย ที่ไม่ได้ใช้เงิน เพราะฉะนั้นการบริหารสภาพคล่อง เพื่อให้เหมาะสมจึงเป็นเรื่องค่อนข้างสำคัญ บทความนี้จะพาท่านผู้อ่านไปรู้จักกับ 5 เคล็ดลับในการบริหารสภาพคล่องที่ควรรู้ครับเคล็ดลับ ที่ 1 ให้รู้ไว้ว่าการมีสภาพคล่องที่มากเกินไป ไม่ใช่เรื่องที่ดีดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า สภาพคล่องมีไว้เพื่อการจับจ่ายใช้สอย การมีเงินเพื่อสำรองใช้จ่าย ที่สำหรับจัดวางสภาพคล่อง เรียกว่าสินทรัพย์สภาพคล่อง จึงมีลักษณะที่ต้องสามารถตอบสนองวัตถุประสงค์ คำว่าสภาพคล่องได้ นั่นคือ สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดเพื่อใช้จ่ายได้เร็ว และการที่เปลี่ยนมาเป็นเงินสดได้เร็วนั่นเอง มันจึงไม่สามารถที่จะให้ผลตอบแทนที่สูงได้ จึงเป็นเหตุผลที่ว่า การมีสัดส่วนสภาพคล่องที่มากเกินไป ไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะเงินที่เราหามานั้น ขาดโอกาสได้รับผลตอบแทน หรือน่าจะนำไปทำให้เกิดผลตอบแทนที่สูงเพื่อให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาวต่อไปนั่นเอง และอีกมุมนึงการที่มีสภาพคล่องมากเกินไป ก็เสี่ยงต่อการที่นำเงินไปใช้จ่ายที่มากเกินไป ทำให้ส่งผลเสียต่อแผนอนาคตระยะยาว รูปที่ 1 สภาพคล่องที่มากเกินไป ไม่ใช่เรื่องดี เคล็ดลับที่ 2 เราควรรู้ว่าเรามีสภาพคล่อง ไปเพื่ออะไร และควรมีเท่าไหร่ จึงจะเหมาะสม ?รูปที่ 2 การมีสภาพคล่องก็เพื่อใช้จ่ายครับ2.1) ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้เพียงพอ สำรองไว้ 7-14 วัน ของค่าใช้จ่ายรายวัน- สมมติ มีการใช้จ่ายรายวันเฉลี่ย วันละ 500 บาท ก็สำรองเงินไว้ในที่ที่สภาพคล่องสูงสุด อย่างเงินสด ,เงินฝาก ก็ได้ครับ เพื่อการใช้จ่าย ประจำวันซัก 3,500-7,000 บาท (*ย้ำน่ะครับ ตัวเลขนี้ไม่เท่ากันน่ะครับ เพราะขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละบุคคล) - ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีพัฒนาขึ้นมากมายอาจทำให้ความจำเป็น ในการสำรองเงินส่วนนี้ลดลงได้อีกมาก อาทิ การมีพวก wallet ,กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ต่างๆ เป็นต้น 2.2) สำรองไว้เผื่อเหตุฉุกเฉิน *ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละบุคคล แต่เชื่อว่า ซักระยะจะรับรู้ถึงความจำเป็นได้เองครับ (*อันนี้ในทางปฏิบัติ ส่วนใหญ่บุคคลที่ค่อนข้างมีสภาพคล่องมักจะสำรองเงินไว้เยอะเกินไป ซึ่งผมก็เข้าใจในมุมในมุมของบุคคลน่ะ ที่ยังมีความรู้สึกหวงเงินที่ตัวเองหามาอยู่ ซึ่งมันก็เป็นความรู้สึกที่มันเป็นธรรมชาติ แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปสักระยะ โอเคผมเชื่อว่า จะเกิดการรับรู้ได้ในเรื่องของเงิน ว่าเฮ้ย...เงินทำไมไม่โตขึ้นว่ะ...อะไรประมาณนี้ ค่อยจะเกิดการรับรู้ แล้วก็เกิดการย้าย การจัดสรรสินทรัพย์ในลำดับต่อไปแต่ก็อยากให้รับรู้ให้เร็วน่ะครับ เพราะว่าเวลามันผ่านไปมันเสียไป มัน...มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็อยากให้รับรู้ และเข้าใจหลักการเร็วๆ ) ซึ่งโดยส่วนใหญ่ ความเหมาะสมของเงินสำรองที่ใช้กัน คือ สำรองไว้ 3-6 เท่าของภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือน หากเป็นฟรีแลนซ์ที่รายได้ไม่คงที่ก็อาจสำรอง 6-12 เท่าของภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือน ประมาณนี้สมมติ มีภาระใช้จ่าย 30,000 บาทต่อเดือน- กรณีเป็นพนักงานประจำ ก็ควรสำรองไว้สัก 90,000-180,000 บาท ในสินทรัพย์สภาพคล่อง- กรณีฟรีแลนซ์ รายได้ไม่คงที่ ก็อาจจะสำรอง 180,000-360,000 แต่ซึ่งจริงๆ ก็อย่างที่ผมกล่าวข้างต้น มันก็แล้วแต่ว่าความจำเป็นของเราว่ายังไง แต่ขอให้มันมีความเหมาะสม ไม่น้อยเกินไปแลดูเสี่ยงต่อการขาดแคลน และไม่มากเกินไปจนเป็นเงินขี้เกียจขาดโอกาสไปทำงาน เติบโตอย่างที่ควรจะเป็นรูปที่ 3 เงินสำรองเผื่อเหตุฉุกเฉิน ที่จำเป็นต้องใช้เงินเร่งด่วน เงินสำรองเหล่านี้ สำรองไว้ก็เผื่อวันข้างหน้าเกิดเหตุการณ์ที่มีผลกระทบกับเรา การดำเนินชีวิตจะได้ไม่สะดุด ไม่เดือดร้อน - เผื่อเหตุการณ์อาจเจ็บป่วย หรือตกงานกระทันหัน- วิกฤติ สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ภัยธรรมชาติ ,โรคระบาด (*ดังจะเห็นในปัจจุบันที่เกิดเหตุการณ์ Coved-19 การที่มีเงินสำรองฉุกเฉิน ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากเลยแหละครับ)- เรื่องเงินสำรองเหล่านี้อาจจะต้องนำมาคำนึงประกอบกับเรื่องการบริหารความเสี่ยงด้วย เช่น การเช็คประกันสังคม ไปจนถึงการตัดสินใจมองหา ทำประกันสุขภาพด้วยก็ได้ เพื่อเป็นการอุดรอยรั่วทางการเงินไว้ หากเกิดเหตุการณ์ไม่แน่นอน เงินส่วนนี้จะได้ไม่บุบสลายไปกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงที่เราไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่ามันเท่าไหร่ ทางที่ดีที่สุด คือ ควรเปลี่ยนค่าใช้จ่ายที่ไม่แน่นอนที่ไม่สามารถควบคุมได้ มาเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ ที่ควบคุมได้ ถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่าครับ2.3) รวบรวมไว้ซื้อสินค้าในอนาคต จุดนี้จะเป็นการออมในช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อรอลงทุนในเวลาที่เหมาะสม- อาจจะเป็นการแพลน ซื้อบ้าน ,ซื้อรถ ,ซื้อของที่อยากได้ ,ไว้เพื่อท่องเที่ยวประจำปี บลาๆๆเคล็ดลับที่ 3 คุณสมบัติ และลักษณะของสินทรัพย์สำหรับใช้บริหารสภาพคล่องรูปที่ 4 เงินสดมีสภาพคล่องสูงสุดเอาไว้ใช้จ่าย- สินทรัพย์ที่สามารถแปลงกลับมาเป็นเงินสดได้เร็ว ทันใช้จ่าย เช่น ตัวเงินสดเอง ,เงินฝากธนาคาร ,ในบัญชี Wallet เป็นต้น- เมื่อแปลงกลับมาแล้วมูลค่าต้องไม่ขาดทุนมากเกิน 5% เช่น ต้องการเงิน 10,000 บาท ถอนออกมาก็ต้องได้ 10,000 บาท หรือไม่ต่ำกว่า 9,500 บาท *ไม่ใช่ต้องการ 10,000 บาท ได้ 6,000 บาท แบบนี้ไม่เรียก สินทรัพย์สภาพคล่อง (*มีคนเคยถามว่า ทองคำ ถือว่าเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องมั๊ย ในมุมผม ไม่คิดว่าใช่น่ะครับ เพราะ เวลาจำเป็นต้องใช้เงิน เราซื้อทองมา 20,000 บาท อาจขายได้ 15,000 บาท ก็ได้ จึงไม่คล่อง)- โดยปกติอัตราผลตอบแทนที่ได้รับนั้นต่ำ และโดยปกติแล้วสินทรัพย์สภาพคล่องนั้น ก็มีความเสี่ยงต่ำเช่นกันเคล็ดลับที่ 4 รู้จักชื่อเรียก สินทรัพย์สภาพคล่องว่ามีอะไรบ้าง ?4.1) เงินฝากธนาคาร ทุกประเภท *จัดว่ามีสภาพคล่องสูงสุด4.2) ใบรับฝากเงิน (Certificate of Deposit)4.3) *ตั๋วเงินคลัง (Treasury Bill) ตั๋วเงินคลัง คือตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยกระทรวงการคลังที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี ไม่ได้รับดอกเบี้ยแต่ได้รับส่วนลดจากราคาหน้าตั๋ว ส่วนมากมักซื้อผ่านกองทุนรวม4.4) กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) ทั้งหมดนี้ คือ รายการสินทรัพย์สภาพคล่องที่เราเอาไว้เป็นทางเลือกในการบริหารสภาพคล่องครับ มีคุณสมบัติลักษณะตามที่กล่าวข้างต้นทุกตัว โดยผมได้เรียงสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงสุดมาจนถึงต่ำสุด ในประเภทของสินทรัพย์สภาพคล่องแล้ว (ตามข้อ 1-4) ***สินทรัพย์สภาพคล่อง เอาไว้เพื่อใช้จ่ายครับ เพื่อป้องกันไม่ให้เงินขาดมือ เมื่อต้องการใช้จ่าย แต่สินทรัพย์สภาพคล่องนั้นทำให้มูลค่าเงินไม่เติบโตครับ เพราะที่สำหรับเก็บสินทรัพย์สภาพคล่องมีผลตอบแทนต่ำ เพราะฉะนั้น จึงไม่เหมาะแก่การเอาเก็บไว้ระยะยาวๆ ควรมีการเช็ค บริหารสภาพคล่องดีๆ ให้มีความเหมาะสมครับ นำส่วนเกินที่เห็นว่าเกินความจำเป็น Surplus ย้ายออกไปจัดสรรลงทุน ในสินทรัพย์ลงทุนเพื่อให้สามารถไปถึงเป้าหมายทางการเงินที่เราได้วางไว้ ใน Step ต่อไปครับทีนี้ผมขออธิบายเพื่อให้ท่านได้เกิดความเข้าใจมากขึ้นครับว่า แล้วทำไมต้องใช้เครื่องมือทางการเงินหรือกลุ่มสินทรัพย์ที่เรียกว่าสภาพคล่องพวกนี้ มาใช้บริหารสภาพคล่อง แล้วสินทรัพย์อื่นๆหล่ะ นำมาใช้บริหารไม่ได้หรือ...? ผมอยากให้คิดตามผมน่ะครับ คือ กลุ่มเครื่องมือทางการเงินเหล่านี้ มีลักษณะคุณสมบัติ ตามที่กล่าวข้างต้น (*เปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็ว ,มูลค่าไม่ขาดทุน ,ความเสี่ยงและผลตอบแทนต่ำ) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดูมีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้บริหารสภาพคล่องที่สุด ลองคิดดูน่ะครับ ถ้าเรานำประกันชีวิต ,นำหุ้น ,พอร์ตลงทุน มาใช้บริหารสภาพคล่อง จะเกิดอะไรขึ้น เช่น ต้องการใช้เงินสด ไปเวนคืนมูลค่ากรมธรรม์ ก็ขาดทุนมิหนำซ้ำความคุ้มครองชีวิตหาย ชีวิตครอบครัวขาดความมั่นคงอีก ,ขายหุ้นในจุดที่ยังไม่ได้กำไร ก็ขาดทุน กระทบเป้าหมายอีก ,พอร์ตหุ้นยังไม่ถึงเวลาเป้าหมายอีก ก็เกิดปัญหา เพราะฉะนั้นสินทรัพย์แต่ละกลุ่มล้วนมีทิศทางเป้าหมายสำหรับตอบสนองชีวิตเราที่แตกต่างกันครับ แต่สิ่งสำคัญอันดับแรกนั้นคือ การบริหารสภาพคล่อง เพราะเป็นกระบวนการแรกในการสร้างความมั่งคั่ง และมีความสำคัญในทุกช่วงชีวิตเปรียบเสมือนสิ่งที่คอยหล่อเลี้ยงให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้ เป็นส่วนที่คอยกระจายนำไปเติมส่วนต่างๆ อย่างการลงทุนเอง ,การจัดการความเสี่ยงทำประกันเอง ล้วนต้องใช้กระแสเงินสดจากการบริหารสภาพคล่องทั้งนั้นครับเคล็ดลับที่ 5 บริหาร ควบคุมสัดส่วนหนี้สินให้ดีๆ เพราะมีผลต่อการบริหารสภาพคล่องรูปที่ 5 การก่อหนี้ขึ้นมาก็เหมือนกับการแบกภาระที่ต้องรับผิดชอบโดยปกติความสามารถในการผ่อนหนี้ ที่เป็นยอดจ่ายผ่อนชำระต่อเดือน เอาง่ายๆ จะมีอะไรก็มีไปครับ จะผ่อนอะไรก็ผ่อนไป แต่ขอร้อง ยอดผ่อนรวม ไม่ควรผ่อนเกิน 45 % ของรายได้ (โดยหลักการ จะแบ่งเป็นหนี้สินจำเป็น บ้าน รถ 25% ,หนี้สินพวกบัตรเครดิต ไม่ควรเกิน 20% *ทั้งนี้ก็อาจดูสัดส่วนของหนี้สินแต่ละประเภทประกอบเอาเอง อาจพิจารณาให้สัดส่วนหนี้สินจำเป็นมากกว่า ไม่ใช่ก่อหนี้ไม่จำเป็นในสัดส่วนที่มาก มันจะทำให้เวลาเราอยากได้หนี้ที่จำเป็น มันอาจไม่ได้ตามที่เราคาดหวัง ทำให้เสียเวลาไปอีก บางคนต้องได้หาเงินไปปิดยอดบัตร ทำให้เสียเวลานะครับเพราะฉะนั้น เรื่องเหล่านี้ ผมมองว่าการแพลนไว้มันก็เป็นเรื่องที่ดี มันเสมือนว่าเป็นการเตรียมตัวที่ดีและก็อาจจะลดการเสียเวลา..นี่คือกรณีจริงๆพี่ผมเจอสมัยทำงานฝ่ายสินเชื่ออยู่ธนาคารครับ)บุคคลสามารถผ่อนชำระหนี้สินได้เต็มที่ต่อเดือน ไม่ควรเกิน 45 % ของรายได้สมมติ รายได้ 50,000 บาทต่อเดือน ผ่อนภาระได้เต็มที่ 22,500 บาทสมมติ ผ่อนบ้านไป 15,000 บาท ก็ไม่ควรไปผ่อนอย่างอื่น เกิน 7,500 บาท ครับ เพราะถ้าเกินสัดส่วน เขาบอกว่า มันเป็นทางไปสู่ปัญหาครับ ไม่ใช่รับรายได้มา เอาไปจ่ายแต่กับหนี้ แบบนี้มันเรียก ชีวิตโดนกดครับ ซักวันพอเกิดความรู้สึกขาดแคลน นั่นแหละ กำลังก้าว สู่ "ปัญหา" รายได้ 100%ออม > 10% (อย่างน้อย 10%)ภาระ <&nbsp; 45% (ไม่ควรเกิน 45%)ใช้จ่ายส่วนตัว < ?คิดดูนะครับ หากมีรายได้มาแล้วไม่เหลือสัดส่วนอื่นไปทำในสิ่งที่มันสำคัญกับชีวิตเลย...คิดว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น อันนี้ผมไม่ขอลงรายละเอียดน่ะ แต่ผมอยากให้ลองคิดตามไปด้วยกัน - ถ้าเรามัวแต่จ่ายไปกับภาระ โดยที่ไม่สามารถทำประกันได้ มันเหมือนชีวิตเราต้องแบกรับความเสี่ยงไว้เอง ทั้งที่มันควรต้องถ่ายโอนให้คนอื่นรับให้ (บริษัทประกัน)- ถ้าเรามัวแต่จ่ายภาระ โดยไม่สามารถออมลงทุนได้ หากถึงวันที่เราหยุดทำงาน/เกษียณ เราจะได้เงินที่ไหนมาใช้ Action หลักๆ อยากให้ทำตามสัดส่วนนี้เลยครับ ยิ่งบังคับได้ ยิ่งดี หรืออาจจะเอากฎ การจัดสรรงบประมาณรายจ่าย 50 : 30 : 20 Percent Rule ไปใช้ก็ได้ ที่ว่า- 50% จ่ายไปกับสิ่งที่ need (ใช้จ่ายในส่วนที่จำเป็น)- 30% จ่ายไปกับสิ่งที่ want (ใช้จ่ายในส่วนที่ต้องการ ตอบสนองกิเลส)- 20% จ่ายให้ตัวเอง ออม/ลงทุน เพื่อ Future (*สร้างสภาพคล่องก็มาจากสัดส่วนนี้แหละครับ)การบริหารสภาพคล่อง และการควบคุมสัดส่วนหนี้สิน เพื่อให้มีสภาพคล่องครับ เมื่อมีความคล่อง ชีวิตจะดำเนินต่อไปได้ จำคำผมไว้น่ะครับ ต้องเอาสภาพคล่องก่อน แม้ภาระหนี้สินจะมากแค่ไหนก็ช่าง ค่อยแก้ไข มันแก้ได้ อย่าไปเครียดกับหนี้เกินไปครับ เราเป็นคนก่อขึ้นมา เราต้องแก้ครับ และมันมีวิธีบริหารจัดการ ถ้าหนักเกินไปก็สลัดทิ้ง แต่สิ่งแรกที่ต้องคิด คือเรื่อง “สภาพคล่องครับ ต้องมีให้ได้” ชีวิตมันถึงจะได้ไปต่อได้ เรื่องปากท้องสำคัญครับ ให้รับรู้ว่าประตูเปิดไปสู่ความมั่งคั่ง คือ สภาพคล่อง จากนั้นก็จัดการ รู้จักสัดส่วนของแต่ละรายการ จัดสรรไปทำในสิ่งที่ ให้มันเป็นไปตามเป้าหมายทางการเงินของเรา ให้บรรลุอย่างราบรื่น สุดท้าย สิ่งที่เราได้ ก็คือ ความสุข นั่นเองครับหวังว่าบทความนี้ท่านผู้อ่านจะได้เข้าใจเรื่องของการบริหารสภาพคล่อง และเครื่องมือทางการเงินที่เป็นสินทรัพย์สำหรับใช้บริหารสภาพคล่อง ไม่มากก็น้อยครับ รูปที่ 1 : ภาพถ่ายโดยผู้เขียนขอขอบคุณรูปภาพจาก : pixabayภาพหน้าปก รูปที่ 2 ,รูปที่ 3 ,รูปที่ 4 ,รูปที่ 5