ในขณะเลื่อนฟีตข่าวใน Facebook บัวได้เจอกับโพสของเพจท่องเที่ยวเพจหนึ่ง ซึ่งมีภาพอยู่หลายภาพเลย ภาพเหล่านั้น เป็นวิวของภูเขา แสงพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า พร้อมกับแคปชันประมาณว่า “ถ้าอยากพิสูจน์รักแท้ ต้องชวนแฟนมาภูกระดึง” โอ้ว ต้องไปแล้วล่ะ (แต่บัว! เธอไม่มีใครให้ลากไปพิสูจน์รักแร้ เอ้ย รักแท้นะ) บัวเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับภูกระดึง ที่นี่พรั่งพรูไปด้วยความสวยงามของธรรมชาติ และสรรพสิ่งต่าง ๆ บนนั้น บัวคิดว่าถ้าได้ไปนั่งเอาบรรยากาศติสท์ ๆ น่าจะฟินไม่น้อย ถึงแม้จะต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อแรงกายจนต้องร้องโอ้ย ก็คุ้มค่ามากที่จะแลก เพราะที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดหินซึ่งบัวพิสูจน์มาแล้วค่ะ ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร ในการเดินขึ้นเขา ชันบ้าง ราบบ้าง จะต้องผ่านก้อนหินอีกกี่ก้อนกันนะ? ผ่านต้นไม้มาเป็นหมื่นต้นแล้วนะ จะถึงรึยัง? คำถามเหล่านี้จะเริ่มหลอนในหัวของคุณ ด้วยความที่บัวเป็นสายชอบความลำบากลำบน เลยตัดสินใจว่าต้องไปลองซักครั้ง ก่อนอื่นเลยขั้นตอนการวางแผนเที่ยวภูกระดึงของบัว มีดังต่อไปนี้… ต้องหาเพื่อน ใช่ค่ะ เพื่อน! เนื่องด้วยเหตุผลประการที่ว่าบัวเป็นผู้หญิงค่ะ เราต้องมีเพื่อนไปด้วย (หรือถ้าใครเป็นผู้ชายก็ลุยโลด คนเดียวเก๋ ๆ) ซึ่งแค่ขั้นตอนแรกก็ถือว่าหนักหน่วงมากสำหรับบัวแล้วค่ะ เพราะเพื่อนแก๊งค์บัว ต่างส่ายหน้าเมื่อได้ยินว่า “ไปภูกระดึงกันมั้ย” (ถามน้ำเสียงแบบอันนาในเรื่อง Frozen) เริ่มเครียดว่า เอ๊ะ จะได้ไปมั้ยนะ แต่แล้ว...ฟ้าก็ประทานเพื่อนคนหนึ่งมาให้ (ผู้หญิงนะ) ด้วยความที่ว่างตรงกัน เราเลยโกทูภูกระดึงค่ะ ทำอะไรต้องวางแผน ใช้ได้กับทุกเรื่องจริง ๆ โดยเฉพาะเรื่องเที่ยวค่ะ เราต้องหาข้อมูลว่า เราจะไปสถานที่นั้นได้ยังไง ต้องเจออะไรบ้างกว่าจะถึง ซึ่งแหล่งขุมทรัพย์ในการหาข้อมูล เห็นจะหนีไม่พ้นเว็บไซต์ต่าง ๆ แค่ Google it! ก็ปรึ๊ง! ขึ้นมาเพียบแล้วค่ะ ลองดูนะ เพื่อฝึกเป็นสายเที่ยวที่แท้ทรูด้วยกัน เงินอยู่ไหน เมื่อตัดสินใจว่าจะไป “เงิน” นับว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะการเที่ยวต้องใช้เงินค่ะ เราจำเป็นต้องมีกองทุนสำรองเลี้ยงตัวเวลาต้องการเที่ยว สำหรับสายเที่ยวที่ต้องออกผจญโลกกว้าง เราต้องดูงบว่าไปภูกระดึงเนี่ยใช้งบประมาณไหน ซึ่งงบจะแตกต่างกันไปในแต่ละคนคือ ค่าเดินทางที่แปรผันตามระยะทาง ค่ากิน กินมากจ่ายมาก กินน้อยจ่ายน้อยค่ะ ซึ่งบัวหมดไปกับของกินเยอะมาก และท้ายสุดคือ ค่าของฝากทั้งฝากตัวเองและฝากคนอื่น บัวโรคจิตหน่อย ๆ ไปไหนต้องมีอะไรติดมือกลับบ้านเสมอ คร่าว ๆ ก็ประมาณนี้แหละค่ะท่านผู้ชม ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เหตุการณ์จริง ตัวแสดงจริง บนภูเขารูปหัวใจแห่งนี้ค่ะ บัวกับเพื่อนเริ่มออกเดินทางจากจังหวัดอุดรธานีค่ะ ถ้าจะไปภูกระดึงซึ่งอยู่จังหวัดเลย เราต้องมาขึ้นรถบัสที่สถานีขนส่งแห่งที่ 2 คนอุดรจะเรียก บขส.ใหม่ ซื้อตั๋วอุดร-เมืองเลย ขึ้นรถรอบตี 5 ฟ้ายังมืดและคนยังง่วง รถอุดร-เลยนี่ ค่อนข้างหวานเย็น ถ้าต้องใช้บริการเราต้องวางแผนเรื่องเวลาดี ๆ นะคะ และแล้วบัวก็เข้าสู่จังหวัดเลยค่ะ ลงที่ผานกเค้า ร้านเจ๊กิมในตำนาน พักเข้าห้องน้ำ และหาของกิน (ปล. อย่าลืมลองส้มตำร้านเจ๊กิม เด็ดค่ะ) จากนั้นเมื่อพักหายเหนื่อย เราก็ต่อรถสองแถวสีแดงไปที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ลงรถปุ๊บ เดินเข้าไปซื้อตั๋วปั๊บ ๆ เช่าอุปกรณ์เต็นท์บลา ๆ ปุ๊บ ๆ ก็เข้าสู่ทางเดินขึ้นภูสุดหินค่ะ ก่อนทางขึ้นจะมีจุดให้บริการลูกหาบ แต่ด้วยความงกของเราสองคนจึงตัดสินใจหอบของทุกอย่างขึ้นเอง รวมทั้งน้ำเปล่าขวดลิตรด้วยความที่ไม่อยากซื้อ เพราะน้ำดื่มยิ่งสูงยิ่งแพงค่ะ แต่! บัวกับเพื่อนคิดผิดมากนะคะที่ตัดสินใจหอบอะไรต่อมิอะไรขึ้นไปด้วยตัวเอง ก็ไม่ต้องทายเลยค่ะ เริ่มเละ! หมดสภาพตั้งแต่ยังไม่ถึงซำแรก พวกเรานั่งพักกันบ่อยมาก ตอนนั้นคิดว่า หกโมงเย็นจะถึงมั้ยเนี่ย เอาของทิ้งดีแมะ อะล้อเล่นค่ะ และแล้วฟ้าก็ประทานอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยพวกเราค่ะ เพื่อน! เพื่อนที่มหาลัยค่ะทุกคน และเพื่อนของเพื่อนอีกหนึ่งคน เค้าสองคนช่วยเราแบกของ อันนี้ค่อนข้างรู้สึกผิดมาก แต่ก็รู้สึกว่าโชคดีมากเหมือนกัน ไม่งั้นพระอาทิตย์ตกแล้วอาจจะยังไม่ถึง พวกเราก็เดิน เดิน และเดิน ระหว่างทางที่เดิน บัวก็เจอคู่ชายหญิงคู่หนึ่ง กำลังเดินขึ้นเหมือนกัน แล้วเรื่องพิสูจน์รักแท้ก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกรอบ เค้าสองคนช่วยเหลือกัน ดึงมือกัน คือทางอะค่ะ ชันอยู่นะ ทั้งดิน ทั้งหิน คือ โหดอะ ถ้าไม่ช่วยเหลือกันหรือความอดทนน้อย มีสิทธิ์ทะเลาะกันได้เลย ไม่ทันไรบัวก็เจออีกคู่ ผู้ชายเดินนำหน้าผู้หญิงมาประมาณ 5 เมตรได้ ผู้หญิงก็แทบจะคลานตาม จริง ๆ ค่ะ ดูนางอ่อนแรงมาก ผู้ชายก็หันมามองผู้หญิงแต่แค่มองนะ คือแบบ คุณ! ควรจะจับมือกัน พยุงกันขึ้นมาแมะ อินค่ะอิน ท้ายที่สุด พวกเราก็ถึงจุดถ่ายรูปยอดฮิตที่คนที่มาถึงภูกระดึงต้องถ่ายเก็บไว้เป็นภาพประวัติศาสตร์ "ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง" ทำเสียงเข้ม โอ้ว ชั้นมาถึงแล้วจ้า ถ่ายรูปกันอย่างภาคภูมิใจ และสูดกลิ่นไอของป่าไม้ จนกระทั่ง หันขวับไปเจอทางเดินที่ทอดยาวไปอีก โอ้ว หม่าย ก้อด ยังไม่ถึงจุดกางเต็นท์ค่ะทุกคน ต้องเดินต่อนะ เราคิดว่า เออ เดินผ่านต้นไม้ต้นนี้ก็คงถึงจุดกลางเต็นท์แล้วล่ะ หนึ่งต้นผ่านไป ต้นสอง ต้นสาม ค่อย ๆ ผ่านไป มาเป็นทำนองเพลงพี่ปู พงษ์สิทธิ์ เลยค่ะ ยังอีก ยังไม่ถึงอีก ขอไม่พูดถึงระยะทางที่แท้ทรูนะคะ ต้องลองมาค่ะบอกเลย ต้องมา ในที่สุดเราก็มาถึงจุดกลางเต็นท์ค่ะ สมาชิกตอนแรกที่มี 2 บวกเพิ่มมาอีก 2 เป็น 4 เพลงขึ้น! เฮามา 4 คน! ผ่าม พาม ด้วยความที่เราทุกคนเหนื่อยไปตาม ๆ กัน หลังจากที่เก็บของเข้าเต็นท์จึงสลับกันไปอาบน้ำ อยากจะบอกว่า การอาบน้ำนี่แหละค่ะจะพาคุณก้าวผ่านความเป็นความตาย เนื่องจากช่วงที่ไปเป็นช่วงเดือนธันวาคม High Season เลยค่ะสำหรับการเที่ยวภูกระดึง จำนวนคนที่ต่อแถวอาบน้ำจึงแปรผันตามค่ะ เยอะมากจริง ๆ บัวก็รอ ร๊อ รอ จนได้เข้าไปอาบน้ำค่ะ ในใจก็แอบคิดว่าทำไมคนอื่นใช้เวลาอาบกันนานจัง บัวก็คิดว่าถ้าได้เข้าจะรีบอาบและรีบออกเลยเพราะอากาศมันหนาวมาก แต่ก็ถึงบางอ้อค่ะ นอกจากเวลาที่ใช้ในการอาบน้ำแล้ว ต้องบวกเพิ่มเวลาทำใจด้วยนะ ห้องน้ำเปรียบเสมือนจุดถ่ายโอนวิญญาณไปสู่ความตาย หนาวมาก หนาวปากสั่นปากเขียว สุดยอดประสบการณ์ค่ะ เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อย พวกเราก็ไปหาอะไรกินกัน บอกเลยว่าทุกอย่างอร่อยหมด อร่อยแบบอือหือ กินอิ่มนอนหลับ และสิ้นสุดสำหรับวันนี้ วันที่ 2 ที่ภูกระดึง บัวตื่นและก้าวขาออกจากเต็นท์ บัวนึกว่าตัวเองว้าปมาอยู่ที่เกาหลี ที่เปล่งวาจาออกมาว่า "พี่ชาย" เบา ๆ ก็ควันออกปาก ทุกคนคะ อุณหภูมิในเช้าวันนี้ไม่ถึง 10 องศา หนาวมากจริงจัง วันนี้คือวันเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ บนภูค่ะ ไม่ว่าจะเป็นผาต่าง ๆ หรือน้ำตก เรามี 2 ทางเลือก คือ จะเดินหรือจะปั่นจักรยาน พวกเราจึงเลือกปั่นจักรยาน เพราะต้องการจะเก็บทุกที่ให้หมดภายในวันนี้ และนี่คือจุดเริ่มต้นของความหรรษาในวันนี้ อยากจะบอกว่าจักรยานเท่มากค่ะ แค่ได้จูงจักรยานเดินก็เท่มากแล้ว ยิ้มปริ่มเลย แต่มันจะเท่มากถ้าขี่แล้วไม่ติดทราย เพราะทางไม่ได้ราบเรียบโรยด้วยดอกกุหลาบเลยค่ะ เหมือนโรยด้วยหนามกระบองเพชร พวกเราเริ่มต้นเส้นทางการปั่นด้วยความเรียบ เราเลือกที่จะไปดูน้ำตกก่อน เพราะอยากเห็นใบเมเปิ้ลค่อย ๆ ร่วงหล่นลงมาลอยบนผิวน้ำ ซึ่งเป็นอะไรที่น่ารักกรุ้มกริ่มและแสนโรแมนติก แต่ใบเมเปิ้ลมีไม่เยอะแบบที่คาดหวังไว้เลยค่ะ นี่คือความช้ำเลเวล 1 พวกเรายังคงออกเดินทางตามหาน้ำตกที่ต่อ ๆ ไป แต่พวกเราดัน "หลงทาง" ค่ะ สัญญาณ GPS ในดงป่ามันก็ไม่มีด้วย พวกเราได้แต่เดินตามทาง (ปล. พวกเราจอดจักรยานทิ้งไว้ เพื่อเดินลงไปหาน้ำตก คิดว่าน้ำตกทุกที่เชื่อมต่อกันแบบใกล้ๆ) พวกเราเดิน และเดิน ไปโผล่ป่าสน ระหว่างทางที่พักหอบแฮกๆ และตกลงกันว่าจะไปทางไหนดี ก็หลอนว่าได้ยินเสียงสัตว์ป่าด้วย อือหือ อะเมซิ่งไปอีก เดินจนน้ำที่หิ้วไปหมดขวด จนสุดท้าย ก็ออกมาเจอลานพระ สาธุ พวกเรารอดแล้ว! เมื่อออกจากจุดนั้นมาได้ ก็เดินวนกลับไปนิดนึงเพื่อไปเอาจักรยาน เส้นทางนี้จะเรียบ ๆ พวกเราจึงขี่จักรยานได้ชิว ๆ ข้างทางมีต้นพืชขึ้น อารมณ์เหมือนอยู่ในแอฟริกา ขี่ไป ๆ สิงโตกระโดดข้ามหัวอะไรแบบนี้ ฮ่า ๆ แต่พอเริ่มเจอผา คุณจะต้องใช้สกิลการขี่จักรยานขั้นเทพ คุณจะเจอทั้งทราย ทางลาดชัน กำเบรกให้มั่น และขี่ตามเพื่อนให้ทัน ถึงแม้ว่าทางจะมีความลำบากในการขี่จักรยาน แต่มันก็คุ้มนะคะที่ได้แลกกับการได้ไปเจอผาในตำนาน “ผาหล่มสัก” ไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกชิว ๆ แต่คนเยอะมากค่ะ ชิวไม่ได้เลย ถ่ายมาติดหัวคนเลยเห็นมั้ย ฮ่า ๆ เมื่อถ่ายรูปกับวิวซักพักพวกเราจึงเดินทางกลับกับขบวนจักรยานที่มีเจ้าหน้าที่นำ เพราะพระอาทิตย์เริ่มตกดินแล้ว ระหว่างทางที่พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า เรื่องผี ๆ ที่เคยอ่านก่อนมาก็ผุดขึ้น อือหือ ในหัวนี่ก็ผุดเรื่องเก่ง เราก็ช่างจินตนาการ เคยอ่านว่าระหว่างทางกลับจากผาหล่มสัก เราอาจจะเจอผีทำตัวสั่น ๆ ยึกยึ๋ย แต่...ไม่มีอะไรนะคะ สงสัยจะโฟกัสแต่เรื่องปั่นจักรยาน ก็เลยไม่มีกะจิตกะใจจะมองหาผี แต่ขนาดโฟกัสเรื่องปั่น ยังปั่นรั้งท้าย จนพี่เจ้าหน้าที่เชิญเราไปขี่ข้างหน้า ฮรือ พี่ช่างน่ารักอะไรอย่างงี้คะ จนในที่สุด ก็ถึงสถานที่คืนจักรยานเช่า สวรรค์ชัด ๆ และจบวันลงที่หาของกินอร่อย ๆ อาบน้ำและนอน โดยก่อนที่จะแยกย้ายไปนอนได้มีการประชุมเล็ก ๆ ถึงการเดินทางกลับวันรุ่งขึ้น ซึ่งบัวและเพื่อนผู้หญิงของบัวตัดสินใจที่จะไปเที่ยวต่อกันที่เชียงคาน! โดยที่ทริปเชียงคานนี้ไม่ได้อยู่ในแพลนที่วางไว้ เส้นทางการเดินทางของพวกเราจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามกันได้ในบทความหน้านะคะ รูปภาพประกอบบทความทั้งหมดโดย ผู้เขียนและเพื่อนผู้ร่วมทริป :')