ทำไมถึงต้องภูกระดึง... เขาว่ากันว่าจะพิสูจน์รักแท้ จะต้องพิชิตการเดินทาง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นตีนเขาจนถึงยอดภูกระดึง รวมระยะทางถึง 9 กิโลเมตร ซึ่งปะปนไปด้วยความชันและทางลาดที่โหดมาก ถ้าเขาดูแลเป็นอย่างดีจนถึงจุดหมายปลายทาง เขาคนนั้นคือรักแท้!! นี่เป็นครั้งที่สองที่เราได้มีโอกาสมาพิชิตภูกระดึง (จริง ๆ แล้วเรามีแฟนใหม่ เลยต้องพามาทรมานหัวเข่าสักหน่อย นางแก่แล้วด้วยนะ ฮ่า ๆๆๆ ) เราเลือกจะเดินทางในช่วงหมดฝน กำลังเริ่มฤดูหนาว เพื่อที่จะได้เห็นบรรยากาศของน้ำตกและอากาศเย็น ๆ บนยอดภูเขารูปหัวใจที่มีขนาดใหญ่ เมื่อกำหนดวันเดินทางได้ หลังจากเราลาออกจากบริษัทเก่า มันรู้สึกเหมือนแบตเตอรี่กำลังต้องการชาร์จไฟ และเราตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้มาก ๆ ถึงแม้จะเป็นครั้งที่สองก็ตาม เราเริ่มหาข้อมูลตั๋วรถทัวร์ และที่พัก จัดการให้เรียบร้อยเตรียมพร้อมก่อนวันเดินทาง ตามไปดูกันเลยว่าประสบการณ์ครั้งที่สองพิชิตภูกระดึงนั้น จะสนุกมากแค่ไหน.. เริ่มต้นไปเที่ยวพร้อม ๆ กันเลยค่าาา... เราใช้บริการรถบริษัทของแอร์เมืองเลย ซึ่งเราซื้อตั๋วแบบ VIP เป็นเบาะปรับนอน มีที่พักเท้าพร้อมผ้าห่ม เนื่องจากในตอนกลางคืน อากาศในรถค่อนข้างเย็น เมื่อถึงเวลาขึ้นรถ จะมีเจ้าหน้าที่คอยบริการแจกของว่าง เป็นขนมปัง น้ำผลไม้ และน้ำเปล่าจัดเตรียมใส่กล่องไว้อย่างดี เจ้าหน้าที่จะมาถามจุดที่เราต้องการลงรถ เราแจ้งไปว่าร้านเจ้กิม พอถึงจุดลงรถจะมีเจ้าหน้าที่มาปลุก ไม่ต้องกังวลว่าจะเลยนะคะ พักผ่อนหลับให้สบายค่ะ เราขึ้นรถที่สถานีหมอชิต 2 ตอนประมาณสองทุ่มครึ่ง เพื่อที่จะได้ไปถึงผานกเค้าตอนเช้ามืดพอดี และเตรียมขึ้นภูกระดึงกัน!! รู้สึกได้ถึงความเร็วของรถที่แล่นบนท้องถนน หลับไปหลายตื่นเพราะคนขับรีบมาก!! แต่เอาเป็นว่าพร้อมขึ้นภูกระดึงมาก ขนาดมารอบที่สองก็ยังตื่นเต้น ดีดเป็นลิงเลยค่ะฮ่า ๆๆ รถจอดถึงผานกเค้าตอนตีสามกว่า พร้อมกับอากาศที่หนาวเย็นประมาณ 15 องศา ไม่ใช่เพียงแค่มือที่ชา หน้าก็ชาไปด้วยเช่นกัน เรานั่งรออยู่ตรงหน้าร้าน ท่ามกลางความหนาว ไฟสลัว ๆ เนื่องจากร้านเจ้กิมยังไม่เปิดให้บริการ รถทัวร์ของเรามาถึงก่อนเวลาที่กำหนด เราทำได้แค่รอและถูมือไปมา เพื่อคลายความหนาวไปได้บ้าง ไม่นานนักพระอาทิตย์เริ่มส่องแสงมาทีละนิด เราก็ได้เห็นเงาของผานกเค้าที่ใหญ่ สง่างาม นั่นเป็นสัญลักษณ์ว่าเราถึงอำเภอภูกระดึงแล้วนะ.. กรี๊ดดดดดด ร้านเจ้กิมเปิดแล้วจ้าา... เราไม่รอช้าเมื่อได้ยินเสียงจากแม่ค้า เพราะท้องเราร้องจ๊อก ๆ ตั้งแต่มาถึงแล้ว ฮ่า ๆ เรื่องกินเป็นอีกเรื่องนึงที่เราจะไม่ยอมแพ้ จัดเลยไข่กะทะ อยู่กรุงเทพไม่ค่อยมีโอกาสได้ทาน มาถึงภูกระดึงก็ต้องลองสักหน่อยละกันนะ เอาฤกษ์เอาชัยก่อนขึ้นภู ร้านเจ้กิมมีให้บริการห้องอาบน้ำ และห้องน้ำอยู่ด้านหลังร้าน ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องแย่งกัน เพราะจำนวนที่มีนั้นมากมายนัก พร้อมกับเตียงและเปลให้เราได้พักผ่อนกันชั่วครู่เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย ก็ได้ยินเสียงจากแม่ค้าอีกรอบว่า " อ่าว ขึ้นรถ ๆ คันไหนเต็มก่อนไปก่อนนะคะ " ปกติหน้าร้านเจ้กิมจะมีรถสองแถวแดงคอยให้บริการตลอด ปกติในฤดูท่องเที่ยว เราสามารถหารค่ารถแดงกับเพื่อนร่วมทางได้ หรือถ้าคนน้อยจริง ๆ เราสามารถเหมาทั้งคันรถได้เลยเราใช้เวลาประมาณ 20 นาทีจากร้านก็ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว.. เราถึงภูกระดึงประมาณเจ็ดโมงเช้า อากาศเริ่มอุ่นขึ้นตามแสงแดดที่เริ่มสาดส่องมา เราไม่รอช้ารีบไปเปลี่ยนชุดที่พร้อมจะลุยในระยะทาง 9 กิโลเมตร ก่อนขึ้นภูกระดึงจะมีเจ้าหน้าที่ชี้แจงรายละเอียดต่าง ๆ และให้กรอกข้อมูลและชื่อว่ามากี่คน ขึ้นกี่โมง ลงจากภูกระดึงวันไหน ภูกระดึงจะเปิดให้ขึ้นประมาณ 7 โมงเช้า และรอบสุดท้ายที่ขึ้นได้คือ บ่าย 2 โมง เนื่องจากระยะเวลาในการเดินทางขึ้นไปถึงยอดภูกระดึง จะใช้เวลานานสุดถึง 4-5 ชั่วโมง และเร็วสุด 2 ชั่วโมง (มีพี่ค่ายอาสาที่เราไปมาครั้งแรกทำได้!) ซึ่งระหว่างทางจะมีช้างป่าออกหากิน และเป็นอันตรายอย่างมากเมื่อเดินทางตอนกลางคืน สำหรับนักเดินทางท่านไหนไม่อยากแบกสัมภาระ ที่นี่มีลูกหาบให้ค่ะ แต่จะมีค่าบริการคิดเป็นกิโลกรัมค่ะ สำหรับคนที่จะจ้างลูกหาบ ผู้เขียนแนะนำว่าให้พกเป้เล็กสำหรับหนึ่งใบ ติดตัวไว้ใส่ของที่สำคัญเช่น น้ำดื่ม ยา และเสื้อผ้าหนึ่งชุดสำหรับเปลี่ยนอาบน้ำ ที่จุดบริการนักท่องเที่ยวด้านบนค่ะ เพราะลูกหาบจะถึงจุดนัดหมายช้ากว่าเรา ด้วยน้ำหนักที่แบกและระยะทางที่ไกล จะได้ไม่ต้องรอค่ะ สำหรับเราแค่เป้หนึ่งใบ เราแบกขึ้นเองทุกครั้งที่มาค่ะ เราพกแต่ของที่จำเป็นมาเพื่อความคล่องตัว นอกจากนั้นตรงข้างจุดบริการของเจ้าหน้าที่จะมีไม้ยาว เราสามารถไปหยิบมาได้ไว้ช่วยในการเดิน ระหว่างทางค่ะ พร้อมแล้วลุย... ถึงแล้ววว...ซำแฮก แฮกสมชื่อ ฮ่า ๆๆๆ คือจะบอกว่าตั้งแต่ขึ้นจนถึงซำแฮก เราเหนื่อยมาก ด้วยความสูงและความชันของภูเขาที่โหดมาก เราดมยาดมไปหลายรอบมากค่ะ ขนาดครั้งที่สองก็ยังไม่ชินสักที ฮ่า ๆๆ ระหว่างทางขึ้นภูกระดึงก็จะมีแต่ละซำที่เป็นจุดพัก มีบริการอาหารและน้ำดื่มรวมถึงของเครื่องใช้ ห้องน้ำ ไว้ให้เรียบร้อย ถึงซำแฮกเรากินไข่ต้มไป 2 ลูก พร้อมกับแตงโม 1 ซีกค่ะ เพิ่มพลังที่เสียไปค่ะ ถ้าเราเหนื่อยก็พักระหว่างทางได้นะคะ ค่อย ๆ ไป แต่แนะนำว่าก่อนมาต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมนะ!! ต้องบอกก่อนว่ายิ่งสูง ของก็ยิ่งแพงขึ้นตามระยะความสูง ด้วยเส้นทางที่ส่งของบวกกับน้ำหนัก แต่ยังอยู่ในมาตราฐานที่ผู้เขียนรับได้ค่ะ ต้นไม้ที่สูงใหญ่แข็งแรงยังมีโอกาสล้ม และนับประสาอะไรกับมนุษย์ คงเป็นเรื่องปกติละมั้งที่จะผิดพลาดและล้มบ้าง... ระหว่างทางที่ทั้งโหดทั้งชัน มันทำให้เราได้เก็บเกี่ยวบรรยากาศระหว่างทางได้ดีเลยทีเดียว เราได้เห็นธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา เห็นพรรณไม้ที่หลากหลาย และมีความท้าทายในการเดินทาง ถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเมื่อไหร่จะถึง ฮ่า ๆ แต่เราตั้งใจมาชาร์จแบตจริงๆ ถึงแม้ในช่วงการเดินทางจะเหนื่อย แต่มันก็เต็มไปด้วยความสุข ปราศจากมลพิษ ตึกสูง ๆ และผู้คนมากมาย เรียกได้ว่าปีที่ผ่านมาเป็นปีที่เราเปลี่ยนงานบ่อยมาก เหมือนถูกที่ผิดเวลาไปหมด เราเลยตั้งใจพาร่างกายมาพัก (แอบทรมานตอนขึ้นฮ่า ๆๆ ) ทุก ๆ ครั้งที่เราได้มีโอกาสไปเที่ยวเราไม่เคยเบื่อเลย ต่อให้มันเป็นที่เดิม ๆ เราแค่ไปเปลี่ยนที่มองท้องฟ้า บรรยากาศ เปลี่ยนที่นอน แค่นี้ก็เพิ่มพลังให้กับชีวิตได้มากแล้วแหละ :) เราใช้เวลาประมาณ สามชั่วโมงครึ่งขึ้นมาถึงหลังแปร อยากบอกว่าสองกิโลเมตรสุดท้าย เราจะขาดใจ ฮ่า ๆๆ คือมันคล้าย ๆ ซำแฮกเลยทั้งชันและสูงมาก แถมต้องปีนและจับกิ่งไม้ช่วยด้วยนะ แต่พอมาเห็นวิวและลมเย็น ๆ ที่พัดโดนหน้าอย่างช้า ๆ ความเหนื่อยนั้นมันก็หายเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะ เราชอบยืนดูวิวที่เห็นเส้นขอบฟ้าสุดลูกหูลูกตา เห็นบ้านเท่ามด เห็นก้อนเมฆที่ลอยอยู่ใกล้ ๆ มันสบายใจที่สุดอย่างบอกไม่ถูกเลย คิดในใจเราอยากอยู่ที่แห่งนี้นาน ๆ จัง แต่!!! ดีใจได้แป๊บเดียว อ่าวเดินต่อสิครับ รออะไรยังไม่ถึงจุดกางเต้นค่าา ฮ่า ๆๆ สนนักเลง.. ทางเดินไปจุดกางเต้นเราเจอผีเสื้อบินตลอดทางเลย เราเก็บภาพมาไม่ทัน เขาถึงว่ากันว่า บางอย่างต้องมาเห็นด้วยตาและสัมผัสด้วยใจ ดูผ่านรูปถ่ายไม่ได้... ระหว่างทางจากหลังแปรไปถึงจุดบริการนักท่องเที่ยว ทางจะเป็นพื้นดินและพื้นทรายสลับกันไป และไม่มีร่มให้พักนะคะ มีแต่ใต้ต้นไม้ซึ่งระยะห่างจะไกลกันมาก เราต้องเดินต่อเนื่องไปเกือบ 4 กิโลเมตรค่ะ ซึ่งผู้เขียนแนะนำให้นักเดินทางเตรียมหมวก แว่นกันแดด เสื้อกันลมมาให้พร้อมนะคะ ในช่วงที่เดินก็ดื่มด่ำกับบรรยากาศ และต้นสนที่ล้อมอยู่รอบ ๆ พร้อมกับเสียงลมที่ปะทะกับต้นไม้ มันรู้สึกดีจนบรรยายไม่ได้เลยค่ะ เมื่อถึงจุดกางเต้นท์ เราได้เช่าจากทางเว็บไซต์ของอุทยานมาแล้ว พอถึงจุดบริการแค่นำใบจองมายื่น เจ้าหน้าที่ก็ให้อุปกรณ์หมอน ถุงนอน และเบอร์เต้นท์กับเราเรียบร้อย หลังจากนั้นเราก็ไปหาของกินเติมกำลังสักหน่อย เราทานเป็นพวกอาหารตามสั่งค่ะ ส่วนใหญ่ราคาอยู่ที่ประมาณ 60 บาทเมื่อเทียบกับปริมาณแล้ว ถือว่าคุ้มมาก ๆ เลยค่ะ และพักผ่อนยืดเส้นยืดสาย นวดกันหน่อยค่ะ หลังจากนั้นทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย ตอนอาบน้ำมีเรื่องเล่าด้วยนะฮ่า ๆๆ ความหน้าหนาวอ่ะเนอะ น้ำอุ่นไม่มีค่ะ เราก็อาบน้ำเย็น แต่ห้องข้างเราอาบไปร้องไปอูย ๆๆ หนาว ๆๆ ฮ่า ๆๆ เราก็แอบขำนะ ตลกดี ร้องทุกห้องค่ะขนาดอาบตอนบ่ายสามนะ น้ำเย็นมาก ๆ ไม่ต้องจินตนาการถึงตอนกลางคืน ไม่อาบจ๊ะแปรงฟันล้างหน้าอย่างเดียวก็หรูแล้วค่ะ ประมาณสี่โมงเย็นเช่าจักรยาน ปั่นไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหมากดูก เนื่องจากอยู่ห่างจากจุดบริการนักท่องเที่ยวเพียงแค่ 2.3 กิโลเมตร กับระยะเวลาไปกลับที่ไม่ดึกจนเกินไป ถ้าจะเลยไปผาหล่มสัก เจ้าหน้าที่แนะนำว่ามันจะอันตรายเกินไป เพราะเส้นทางไปผาหล่มสักนั้นค่อนข้างจะไกลมาก และเป็นเส้นทางเรียบหน้าผาทั้งหมด เราจึงทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ นอกจากนั้นตอนปั่นจักรยาน ต้องระมัดระวังด้วยนะคะ เพราะบางช่วงจะไม่ใช่ที่ราบเรียบ และเป็นทรายค่ะ จะค่อนข้างอันตรายนิดนึง แต่สนุกไปอีกแบบค่ะ ส่วนนักเดินทางท่านไหนที่หิว ไม่ต้องกังวลไปค่ะเพราะ ที่นั่นมีให้บริการอาหารและเครื่องดื่มจากชาวบ้าน ที่ไปตั้งร้านขายด้วยค่ะ ระหว่างทางที่ไปมีต้นสนเยอะแยะไปหมดค่ะ สวยงามมาก ต้องไปเห็นกับตาจริง ๆ ลืมบอก.. เราไปช่วงวันธรรมดา นักท่องเที่ยงจึงไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เหมาะแก่การดื่มด่ำกับธรรมชาติ ตลอดทั้งสองข้างทางอย่างมาก หน้าตาเลยยิ้มแย้มเชียว ฮ่า ๆ เพราะเราได้พักผ่อนและเติมพลังจริง ๆ :) เวลาพระอาทิตย์ตกดินไม่ว่าจะภูเขา ท้องทะเล หรือในเมืองเราชอบเสมอ มันมีสเน่ห์ในตัวมันเองโดยที่เราไม่ต้องไปปรุงแต่งอะไรเลย หลังจากที่พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า บวกกับความหิวโหย เรารีบปั่นจักรยานกลับที่พัก อย่าลืมว่าเราอยู่ในป่า สองข้างทางจะมืดมาก จะมีไฟตามเสาแค่เป็นช่วงสั้น ๆ เท่านั้น อย่าลืมพกไฟฉายไว้ด้วยนะคะ ถ้าไม่สะดวกปั่นจักรยานก็ไม่มีปัญหาค่ะ นักเดินทางบางท่านก็เดินกลับ เรามีเพื่อนร่วมทางรวมถึงเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่ตลอดอยู่แล้วค่ะ เช้าวันที่สองเราตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง ทำธุระส่วนตัว ไปรวมตัวกับเจ้าหน้าที่ตรงจุดบริการนักท่องเที่ยว เพื่อที่จะได้เดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น เพียงแต่วันนี้โชคไม่เข้าข้าง ฝนตกตั้งแต่กลางทาง ฮ่า ๆๆๆ นั่นหมายความว่าเราจะไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นค่ะ!!! แต่ตอนนั้นอยู่ระหว่างทางแล้วก็ต้องเดินไปให้ถึงค่ะ แต่ชีวิตคนเรามันต้องมีเรื่องดี ๆ บ้างแหละ ใช่ค่ะ! นางโผล่มาให้เห็นแว๊บนึงแล้วก็หายลับไปกับเมฆฝน จะว่าไปมันก็สวยไปอีกแบบเนอะ ท้องฟ้าไม่ได้มืดเสมอไป... หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เราเดินเที่ยวไปเรื่อย ๆ ดูน้ำตก ลำธาร แต่เรามาช่วงปลายฝนต้นหนาวแล้ว น้ำเลยไม่ค่อยมี แต่ก็ได้สัมผัสบรรยากาศไปอีกแบบนึง เราเดินเล่นไปถึงสระอโนดาด ผาเหยียบเมฆ ผาแดง ซึ่งเส้นทางนี้ต้องเดินทางก่อนบ่ายโมงนะคะโดยประมาณ เพราะเส้นทางไปน้ำตกผ่านสระอโนดาดก่อนตัดไปริมผา เป็นเส้นทางของช้างป่าค่ะซึ่งอันตรายมาก ช่วงที่เราเดินก็มีขี้ช้างเต็มทางไปหมดเลย บางทีก็ได้ยินเสียงช้างร้องไกล ๆ แอบกลัวเหมือนกันค่ะ ปลายทางของเราวันนี้คือผาหล่มสัก ดูพระอาทิตย์ตกดิน ใช่ค่ะ! เราเดินจากจุดกางเต้นท์ไปผาหล่มสัก ฮ่า ๆๆ น้ำตาแอบไหลเหมือนกัน หรือถ้าสนใจเป็นจักรยานเสือภูเขา ทางเจ้าหน้าที่มีบริการให้เช่าด้วยนะคะ แต่ประสบการณ์จากวันแรกแล้วนั้น เราเดินดีกว่าค่ะ ฮ่า ๆ เพราะว่าเส้นทางที่ไปผาหล่มสัก บางช่วงเป็นทรายเราไม่สามารถปั่นได้ ถึงจะพยายามก็เหนื่อยกว่าเดินแน่นอนค่ะ บวกกับเนินด้วยแล้ว ก็สามารถเลือกได้ตามสะดวกเลยค่ะ ภาพนี้จากสระอโนดาดไปผาหล่มสัก ระยะทางเกือบ 6 กิโลเมตรค่ะ (เช็ดเหงื่อ) ผาเหยียบเมฆเป็นอีกจุดชมวิวที่สวยงามอีกจุดนึงเลย เห็นวิวสุดลูกหูลูกตาไม่มีต้นไม้บัง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมถ่ายรูปโดยปีนขึ้นไปบนหินแล้วยกขาขึ้นเหมือนเหยียบเมฆ แต่ส่วนตัวเราไม่กล้าค่ะ กลัวมาก ๆ แค่ไปถ่ายรูปนี้ก็ขาสั่นแล้วค่ะ ฮ่า ๆๆๆ ถึงแล้วค่ะกับผาหล่มสัก ระยะทางที่แสนไกล และภาพที่เห็นคือฟ้าไม่เปิดค่ะ ฮ่า ๆๆ น้ำตาไหลของจริงค่ะ แต่คิดในแง่ดีอย่างน้อยพระอาทิตย์ก็ออกมาให้เห็นแสงสีส้มเนอะ ก็เปลี่ยนมุมมองไปอีกแบบค่ะ ไม่เป็นไรค่ะแต่เดินมาไกลมากนะบอกเลยฮ่า ๆๆ วันสุดท้ายเราตื่นสายหน่อยคะ ก่อนลงจากภูกระดึง ด้วยความเหนื่อยสะสมที่เดินมาสองวันเต็ม ๆ มันเป็นอีกทริปนึงที่เรากลับบ้านพร้อมกับความสบายใจ ให้ธรรมชาติช่วยบำบัด และมันช่วยได้จริง ๆ ถึงแม้ระหว่างทางอาจจะไม่ราบรื่นเสมอไป บางอย่างไม่ได้ดั่งใจ แต่เชื่อเถอะทุก ๆ อย่างมันดีและสวยงามเสมอ จะมีครั้งที่สามไหม? ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ แต่คิดว่าเราได้เจอกันอีกแน่นอน ภูกระดึง :) 🧘🏻 แนะนำให้ออกกำลังกายก่อนมาขึ้นภูกระดึงนะคะ จะได้ไม่บาดเจ็บมาก ฮ่า ๆ 📌 อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ⛺️ นอนเต้นท์ 2 คืน 320 บาทต่อคนค่ะ และค่าเข้าอุทยาน 🚌 แอร์เมืองเลย VIP ไปกลับ 1,428 จุดจอด ลงร้านเจ้กิม 🚌 ค่ารถสองแถวแดง ไปกลับ 60 บาท 🍝 ส่วนค่ากิน จิปาถะ เราแยกนะคะ เพราะเราทานเยอะครบ 3 มื้อ :P 📷 รูปภาพประกอบทั้งหมด ถ่ายโดยผู้เขียน ***