เมื่อความคิดถึงมันเริ่มทำงาน การเดินทางมันจึงเกิดขึ้น มีหลายคนที่ยังคงกลัวที่จะทำในสิ่งที่อยากทำไปในที่ที่อยากไป แต่ในครั้งนี้นั้นฉันได้ลบความกลัวของตัวเองออก การเดินทางจึงได้เริ่มต้นขึ้น เราตัดสินใจจะไปเที่ยวภูกระดึงในวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมาตอนนั้นคิดเเค่ว่า อยากไปเพราะอยากไปมานานเเล้ว เเต่ไม่ได้ไปสักทีเพราะมัวเเต่หาเหตุผลที่จะไม่กล้าออกไป เเต่ในครั้งนี้นั้น หลังจากตัดสินใจก็จองตั๋วผ่านเว็บไซต์ทันทีโดยเรา เลือกใช้บริการของแอร์เมืองเลยเลือกที่นั่งเเละวัน เวลาที่จะเดินทาง หลังจากนั้นก็เตรียมของจัดกระเป๋า เพื่อที่จะเซฟตัวเองให้มากที่สุด เพราะตั้งใจไปคนเดียว เพราะชวนใครก็ไม่มีใครไปเลย แต่พอตั้งใจไปคนเดียวเเน่ๆเเล้ว 3 วันก่อนวันเดินทาง มีสายโทรเข้าจากเพื่อนว่าขอไปภูกระดึงด้วยคนนะ เลยนัดเจอกันที่ภูกระดึงเลย พอถึงวันเดินทางไม่มีคนอยู่บ้านเลยสักคน เลยต้องเดินทางเองตั้งเเต่ก้าวเท้าออกจากบ้านก็คือ ต้องเผื่อเวลาเองนั่งรถทั้งหมด 4 ต่อกว่าจะถึงหมอชิต เเต่ด้วยความเผื่อเวลานี่แหละทำให้ไปถึงหมอชิตเร็วเกิน เราเลือกรถรอบ 22:00 แต่เราไปถึงตั้งแต่ 18:30 ก็ต้องหาที่นั่งรอกัน เรากลัวเราขึ้นรถผิดเเละตกรถที่สุดเพราะเป็นคนเบลอ ๆ พอใกล้ถึงเวลา จะมีคนเรียกขึ้นรถ รอบรถมันจะติดๆกันมากถ้าไม่เเน้ใจว่าขึ้นถูกไหมให้ถามพนักงานรถ เราออกจากหมอชิตประมาณ 4 ทุ่มกว่า ๆ จะมีพนักงานมาถามเราว่าจะลงไหน เราเลือกลงร้านเจ๊กิม เราสามารถนอนหลับได้เเบบสบายใจได้เลยเพราะเมื่อถึงปลายทางที่เราจะลงพนักงานจะเดินมาปลุกเอง เราเดินทางมาถึงร้านเจ๊กิมตอนประมาณตี 5 ที่ร้านเจ๊กิมมีอาหารขายมีห้องน้ำให้บริการ มีบริการชาร์จแบตเเละมีที่ให้นักท่องเที่ยวพักผ่อนก่อนเดินทาง หลังจากที่เราได้ทำธุระส่วนตัวเเละกินข้าวกันเสร็จเรากับเพื่อนก็ใช้บริการรถสองเเถวเเดง เหมาราคา 300 บาท ต่อ 1 คันขึ้นได้ 10 คน ตกคนละ 30 บาท เราใช้บริการรถเเดงไปยังภูกระดึง นั่งมาไม่นานก็ถึง มีค่าเข้าอุทยานฯคนละ 40 บาทสำหรับคนไทย (ผู้ใหญ่) เมื่อเดินทางมาถึงเราสามารถติดต่อเช่าเต็นท์ พื้นที่กางเต็นท์ บ้านพัก ซื้อประกัน ติดต่อสอบถามได้ที่นี่ เมื่อติดต่อเรื่องที่พักเสร็จเเล้ว เราก็ไปติดต่อจ้างลูกหาบต่อ เนื่องจากไม่สามารถเเบกเองได้เเน่ๆ ลูกหาบกิโลละ 30 บาท พร้อมแล้วก็ไปกันเลยค่ะ เเค่เห็นทางขึ้นก็เข่าอ่อนเเล้ว ช่วงที่เราไปคนไม่เยอะเเล้วก็ไม่น้อย ทำให้บรรยากาศกำลังดีค่ะไม่เหงาจนเกินไป เราเดินขึ้นไปได้สักพักคือบอกได้เลยว่าเรียกเหงื่อได้ดีมากกกกก ซำเเฮกนี่เเฮกจริงๆเเต่พอพ้นซำเเฮกไปก็ดีขึ้นค่ะ เราอาศัยว่าเราเดินไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ถึง เพราะเราขึ้นเร็วเลยไม่กลัวค่ำค่ะ เดินไปพักทุกๆ 50 เมตรกันเลยทีเดียว เดินไปถ่ายรูปไปเรื่อยๆไม่รีบ เดินชมธรรมชาติไปเรื่อยป่าเขามันมีเสน่ห์ของมันจริงๆ เรารู้สึกว่าเราสนุกเเละไม่ทุกข์เลยมันเหนื่อยกายนะ เเต่จิตใจเราสุขมากกับการออกเดินทางครั้งนี้ เราพักกินข้าวกันที่สำกกโดน จริงๆเเล้วเดินไปเรื่อย ๆ มันก็เเปปเดียวเองนะ ซำกกโดนจะเป็นจุดพักที่ใหญ่กว่าทุกซำ มีร้านค้ามีห้องน้ำ ในวันที่เราเดินทางขึ้นภู อากาศไม่ร้อนเย็นสบายมีลมพัดตลอด เดินไปเรื่อย ๆ ซำเเคร่จะเป็นซำสุดท้ายต่อไปนี้เราจะเข้าป่าเเละไม่มีร้านค้าหรือจุดพักเเล้วเราเดินจนไม่ได้ถ่ายรูปเพราะเหนื่อยจนขี้เกียจเเล้ว อยากถึงหลังเเปเร็ว ๆ เค้าบอกว่าเดินไปถ้าเจอบันไดก็จะถึงหลังเเปเเล้ว เเต่!! บันไดเยอะมากกว่าจะถึงมันก็ไม่ได้เจอเเล้วถึงเลยเหมือนที่คิดไว้ เดิน ๆ นั่ง ๆ อยู่หลายยกเหมือนกัน เเต่ในที่สุดเราก็มาถึงเเล้วใช้เวลาไปทั้งหมด 6 ชม. ในการเดินขึ้นมาถึงหลังเเปต่อให้หน้าจะเหนื่อยจะเหงื่อเเค่ไหนก็ต้องถ่ายกับป้ายนี้ มันเหมือนเป็นความภูมิใจเลยเเหละ ไปค่ะ เดินต่อไม่รอเเล้วนะ เดินไปที่พักอีก 3 กม. แดดร้อนเปรี้ยงๆเลยยยช่วงบ่ายพอดี เริ่มหมดเเรง พี่สนเดียวดายเซเลปภูกระดึง สำหรับเราเรามองว่าเราชอบต้นสนต้นนี้ที่ถึงจะอยู่ต้นเดียว เเต่ก็มีค่าจนใคร ๆ ที่ผ่านมาก็ต้องเเวะมาถ่ายรูปด้วย ใคร ๆ ก็ต้องการพี่สนเดียวดาย ในที่สุดก็ถึงสักที นี่คือที่พักของเรา เต็นท์สำหรับ 3 คน ราคาอยู่ที่คืนละ 225 บาท พอถึงเราก็ขอพักผ่อนยาว ๆ เจอกันในเช้าวันถัดไปกันเลยย เราตื่นตี 4 เพื่อเตรียมตัวไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นตอนเช้า อากาศเย็นกำลังดี ในทุกๆเช้าจะมีเจ้าหน้าที่นำทางนักท่องเที่ยวไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ในเวลาตี 5 ของทุกเช่าเเต่วันนี้เราดวงไม่ดี ฟ้าปิดทำให้ไม่ได้เห็นแสงรุ่งอรุณ เเต่ในทุกๆเหตุการณ์มันก็มีเสน่ห์ของมันไปในตัวเสมอ. หลังจากนั้นเราก็เดินกลับที่พักเพื่อเตรียมตัวเดินเที่ยวบนภูเช้านี้ ก่อนเราจะออกเดินทางเข้าป่ากันไปเราได้คำเเนะนำจากพี่ๆที่ใจดีเเนะนำให้เราไปเส้นสระอโนดาตเเล้วตัดไปผาเหยีบเมฆเเล้วเดินเลียบผาไป ก่อนเข้าป่าเราก็เเวะมาไหว้พระกันก่อน เข้าป่ากันเลยยยยยยยยยย ในธรรมชาติมีอีกหลายสิ่งมากมายที่รอให้เราไปสัมผัส ทุกสิ่งทุกอย่างมันงดงามเเละมีเสน่ห์ในเเบบของมันจริง ๆ เดินมาเรื่อย ๆ ก็ถึงสระอโนดาต หลังจากนี้เราก็เดินตัดไปทางเส้นที่มุ่งหน้าไปผาเหยียบเมฆเพื่อกินอาหารเที่ยง เเละเดินเส้นเลียบผาไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ ผาหล่มสัก ผาเหยียบเมฆ หินหัวเต่า ถึงเเล้วจ้าผาหล่มสัก บราวนี่ร้านชมพูมะเหมี่ยว ถ้าอยากกินต้องจองก่อนถึงจะได้กินนะ ระหว่างที่นั่งรอดูพระอาทิตย์ตกดินอยู่ๆก็เกิดอาการกลัวเนื่องจากหากรอดู เวลาเดินกลับจะมืดมากไปกับเพื่อนกันเเค่สองคน เลยต้องหาผู้ร่วมเดินทางเพิ่มในที่สุดก็ได้เจอพี่ใจดีบนภู เราเลยขอเดินจับกลุ่มกลับกับพี่ๆเพราะพี่ก็หาคนเดินกลับเหมือนกัน ยิ่งมืดยิ่งหนาว ยิ่งใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกดินคนยิ่งเยอะมากกก บอกได้เลยว่าต้องจับจองที่นั่งกันดีๆ วันนั้นที่ไปพระอาทิตย์ตก 17:45 น. ท้องฟ้า ณ ผาหล่มสัก พระอาทิตย์ตก ณ ผา หล่มสัก หลังจากที่พระอาทิตย์ตกดิน เราก็มุ่งหน้าเดินด้วยความเร็วเพื่อกลับไปยังที่พัก ใช้เวลาไปทั้งหมดประมาณ 1 ชม. กับอีก 45 นาที กับระยะ 9 กิโลจากผาหล่มสักถึงจุดกางเต็นท์ ถ้าถามความรู้สึกว่าตอนนั้นเป็นยังไงคงบอกได้คำเดียวว่า เดินจนรู้สึกขาลอย เช้าวันสุดท้ายเราตั้งใจจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นอีกครั้ง ก่อนกลับ เช้านี้มีลุ้นจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น ในที่สุดน้องพระอาทิตย์ก็มาเเล้ว เย้ อยากเก็บตะวันเก็บเอาเรื่องราว หลังจากนั้นเราก็เก็บสัมภาระเดินลงภูกระดึง ตอนลงจะง่ายกว่าตอนขึ้นมากเเต่เเอบขาสั่นเหมือนกันนะ การเดินทางในครั้งนี้นั้นเราได้เจอทั้งผู้คนมากมาย เจอมิตรภาพของคนที่ไม่รู้จักกัน รอยยิ้มเเละกำลังใจจากคนที่มีปลายทางเดียวกัน เเต่อีกหนึ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้ในครั้งนี้คือ เส้นทางบางเส้นทางเป้าหมายเราอาจเหมือนกันกับผู้ร่วมทาง เเต่จุดมุ่งหมายของการเดินทางเราเเตกต่างกันเสมอ หลายคนคงพูดว่า มาเเล้วอย่ามาอีกเลยเเต่สำหรับเรา ยิ่งอยู่ยิ่งรัก "เลย" อยากกลับไปอีกครั้ง ในวันที่โตเเละพร้อมเดินทางอีกครั้ง สุดท้ายนี้ความคิดถึงจะทำให้เรากลับไปหาเธออีกครั้ง คิดถึงจัง"เลย"