ภูกระดึงคือชื่อของุอุทยานแห่งชาติลำดับต้นๆที่คนอยากพิสูจน์ความแข็งแกร่งของกำลังขาของตัวเองพากันกล่าวถึง เป็นภูเขาที่เที่ยวได้หลากหลายฤดู ภูกระดึงจะเปิดในช่วงของวันที่ 1 ตุลาคม - 31 พฤศภาคม ของทุกปี เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปชมความงดงามและรับสายลมหนาว สำหรับมือใหม่ที่กังวลว่าควรต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เราขอแนะนำให้ทุกคนเตรียมใจ เตรียมร่างกายให้พร้อม ข้างบนอากาศค่อยข้าวหนาวเย็นตลอดทั้งปี ควรเตรียมเสื้อกันหนาวอุ่นๆไปด้วย หากใครรู้สึกว่าไม่มีแรงแบกสัมภาระแน่ๆ ทางอุทยานมีพี่ๆลูกหาบคอยบริการขนสัมภาระขึ้นไปให้ เราสามารถเดินขึ้นภูตัวปลิวได้เลย อีกสิ่งที่สำคัญคือการเตรียมเงินในกระเป๋าให้แน่นๆนั่นเอง ภูกระดึงสามารถหาซื้อได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ ข้าวแกง ขนมขบเคี้ยวหรือแม้กระทั่งหมูกระทะแก้หนาวของอร่อยที่ใครไปก็ห้ามพลาด เพื่อนๆทุกคนที่เป็นมือใหม่ไปได้แน่นอนหายห่วง จนใครๆก็มักกล่าวไว้ว่า "ไปภูกระดึงไปแต่ตัวก็ไปถึง" จะจริงหรือไม่เรามาพิสูจน์ไปพร้อมๆกันเลยดีกว่า เราเริ่มออกเดินทางมาถึงอำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ในเวลาเช้ามืดที่ร้านเจ๊กิม ผานกเค้า เพื่อต่อรถสองแถวเข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง วันนี้เราตัดสินใจที่จะแบกเป้สัมภาระขึ้นสู่ยอดภูด้วยตัวเองโดยไม่พึ่งพี่ๆลูกหาบ โดยเราจะต้องเดินในระยะทางกว่า 9 กิโเมตร เส้นทางขึ้นภูกระดึงค่อนข้างชันโดยตลอดทางจะมีจุดแวะพักที่เรียกว่า "ซำ" ซึ่งมีเครื่องดื่ม อาหารคาว ขนมนมเนยนานาชนิดคอยบริการตลอดเส้นทางเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้คลายความเหนื่อยล้า และมีแรงฮึดสู้เพื่อพิชิตภูกระดึงนั่นเอง โดยเฉพาะสิ่งที่ยอดฮิตที่สุดสำหรับคนที่มาภูกระดึงแล้วห้ามพลาดเลยคือ แตงโมหวานๆฉ่ำๆที่เติมความสดชื่นให้แก่ร่างกายซึ่งเราเองก็ไม่มีทางพลาดแน่นอน หลังจากเติมพลังและนั่งพักจนหายเหนื่อยเรียบร้อยแล้ว เรารีบเดินเท้ากันต่อ สิ่งที่พบเห็นตลอดเส้นทาง นอกจากความสวยงามของธรรมชาติรอบตัวแล้ว ก็คงจะเป็นมิตรภาพที่เราสามารถพบได้ตลอดเส้นทาง การพูดคุยของคนแปลกหน้า แลกเปลี่ยนประสบการณ์ของคนหลายคนหรือแม้กระทั่งการพบเห็นผู้ใหญ่วัยเกษียณกับเด็กน้อยตัวเล็กๆกำลังมุ่งมั่นพื่อขึ้นสู่ยอดภูกระดึงเหมือนๆกับเรา ผ่านไปกว่า 4 ชั่วโมงกับร่างกายที่เริ่มอ่อนล้าลง ได้แต่บอกตัวเองว่าอีกนิดเดียวใกล้ถึงแล้ว ในระหว่างนั้นเราต้องคอยหลบหลีกเส้นทางให้แก่พี่ๆลูกหาบทั้งหลายที่บนบ่าแบกสัมภาระของนักท่องเที่ยวไว้อย่างมากมาย พร้อมทั้งมีเสียงเพลงจากลำโพงข้างกายให้คลายเหงา ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงหลังแปร ว่ากันว่าใครมาถึงที่นี่จะต้องถ่ายรูปกับป้ายนี้ ไม่เช่นนั้นจะเรียกว่ามาไม่ถึงภูกระดึง เราเองก็ไม่พลาดแน่นอน พร้อมทั้งเช็คอินกับตัวเองในใจว่า "ฉันมาถึงแล้วนะ ภูกระดึง" หลังจากถ่ายรูปกันจนพอใจแล้ว เราต้องรีบเดินเท้าต่ออีกราวๆ 3 กิโลเมตรเพื่อไปสู่ลานการเต็นท์วังกวาง ที่ที่จะเป็นที่พักของเราในคืนนี้ ในที่สุดเวลาเที่ยงตรงเราก็มาถึงที่พักกันเสียที ข้าที่อ่อนล้า กับพลังที่อ่อนแรงลง เรารีบเก็บสัมภาระแล้วเดินไปเติมพลังจากร้านค้าที่เรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก ก่อนจะเดินทางไปชมความงามของภูกระดึงกันต่อ เราเริ่มต้นที่น้ำตกถ้ำใหญ่เพื่อไปดูความงดงามของใบเมเปิ้ลสีแดงที่ผลิบานและร่วงหล่นราวกับพรมสีแดงฉานอวดสายตานักท่องเที่ยวจำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของภูกระดึงเลยก็ว่าได้ บ่ายคล้อยลงมา กับแดดที่แผดเผาหลังจากชมความงานของใบเมเปิ้ลแล้ว เราตัดสินใจที่จะเดินทางต่อไปยังผาเหยียบเมฆ ผาที่เปรียบเสมือนเรายืนอยู่บนก้อนเมฆ ท่ามกลางขุนเขาที่โอบล้อมรอบตัว เรามีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจนหลงลืมเวลา รู้ตัวอีกทีก็ใกล้ถึงเวลาที่พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว เราจึงเดินทางกันต่อไปที่ผาหมากดูกเพื่อชมความงามของพระอาทิตย์ตก ซึ่งที่นี่ถือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากอีกแห่งหนึ่งของภูกระดึงเลยทีเดียว เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากลานกางเต็นท์วังกวางมากนัก เช้าวันต่อมาเรารีบตื่นแต่เช้าทำธุระส่วนตัว เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าบนภูกระดึงที่นักท่องเที่ยวทุกคนห้ามพลาด เมื่อไปถึงเราพบกับผู้คนจำนวนมากที่ต่างพากันจับจองที่นั่งเพื่อชมความงดงามของแสงแรกแห่งภูกระดึง หลังจากนั่งดื่มด่ำกับความงดงามตรงหน้าจนแสงแดดเริ่มออกมาทักทาย เราได้แต่จ้องมองจดจำภาพตรงหน้าให้นานที่สุด เพื่อบันทึกความทรงจำไว้ เห็นจะจริงเหมือนที่มีคนกล่าวไว้ว่า "ไม่มีกล้องตัวไหนบันทึกเรื่องราวได้สวยงามเท่าตาเห็น" แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ต้องมีวันจากลา สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือบันทึกภาพและความรู้สึกเหล่านี้ไว้ในความทรงจำ.... ภูกระดึงยังมีความงดงามอีกมากมายที่เรายังไม่ได้ไปเที่ยวชมด้วยเวลาที่มีอย่างจำกัด หรือนี่อาจจะเป็นเสน่ห์ของภูกระดึงก็เป็นได้ที่ทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกว่า มาครั้งเดียวคงไม่พอ และครั้งหน้าเราหวังว่าเราอาจจะมีโอกาสได้มากับใครซักคนที่จะมานั่งชมความงดงามตรงนี้ด้วยกัน... ภาพโดย ขวัญดา