จุดเริ่มต้นของการติดเที่ยว...เกิดขึ้นที่เชียงคาน เมื่อ 2 ปีที่แล้วเป็นการเดินทางไกลครั้งแรกของผู้หญิงตัวน้อย หลังจากเรียนจบจึงแพลนกันกับเพื่อนว่าจะไปเที่ยวสักที่ เพราะต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำงาน ไม่ค่อยมีเวลาเจอกันเท่าไหร่ จึงลงมติกันไปเที่ยวเชียงคาน เพราะอยากไปกันมานานแล้ว ตามแพลนของเราคือ ไป 3 วัน 2 คืน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์โดยออกเดินทางเย็นวันศุกร์ ด้วยรถที่หมอชิต ออกจากกรุงเทพฯ ( หมอชิต ) ประมาณ 3 ทุ่ม ถึงบขส. เลย ประมาณ ตี 5 กว่า ๆ ต่อรถโดยสารคนละ 35 บาท มุ่งหน้าสู่อำเภอเชียงคานใช้เวลาเกือบ ๆ 2 ชั่วโมงได้นะ ตลอดสองข้างทางเป็นเรือกสวน ไร่นาของชาวบ้านและฉากภูเขาไกล ๆ เป็นภาพที่น่าจดจำมาก อาจเป็นเพราะพวกเราเห็นแต่ตึกสูงจนชิน ทำให้รู้สึกขาดธรรมชาติมาก และรู้สึกดีที่ได้เห็นธรรมชาติอันงดงามและยังคงอยู่เยอะมากในแถบนี้ ถึงที่หมายแล้ว เราเลือกเดินลัดเลาะไปตามถนนเลียบชายโขงเพื่อจะได้ชมบรรยากาศไปด้วย ช่วงที่ไปอากาศค่อนข้างร้อน ร้อนแบบมีฝนนิดหน่อยด้วย แต่เราก็ยังมีความพยายามในการเดินกันไปเรื่อย ๆ เพราะที่พักอยู่สุดซอยของถนนคนเดินเชียงคาน เมื่อถึงที่พักก็เช็คอิน เก็บกระเป๋าและเตรียมออกเที่ยว ที่นี่มีบริการรถเหมาเที่ยว รถโดยสาร และมอเตอร์ไซค์ เราเลือกเช่ามอเตอร์ไซค์ 300 บาท 1 วัน คือเช่าบ่ายวันเสาร์ก็คืนบ่ายของวันอาทิตย์ เมื่อได้รถแล้วเราก็มุ่งหน้าไปที่ “บ้านพิพิธภัณฑ์ไทดำ” ด้วยการใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์นั่นคือ “GPS” นำทางไป ชาวบ้านที่นี่เป็นเชื้อสายชาวไทดำถิ่นเดิมของชาวไทดำอยู่ในแคว้นสิบสองจุไทย บริเวณแม่น้ำดำ แม่น้ำแดง ในแคว้นสิบสองจุไทยมีเมืองแถน (ปัจจุบันคือเมืองเดียนเบียนฟู ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม) เป็นเมืองหลวงไทดำ และอพยพเข้ามาในประเทศไทยช่วงรัชกาลที่ 5 สมัยที่ไทยทำสงครามปราบฮ่อในดินแดนเชียงขวางและสิบสองจุไท ซึ่งชาวบ้านที่นี่ยังคงสืบสานประเพณีวัฒนธรรมไทดำให้คงอยู่สู่รุ่นลูกรุ่นหลานมาจนถึงปัจจุบัน หมู่บ้านตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งนาเขียวขจี เป็นศูนย์การเรียนรู้ทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม หัตถกรรม งานฝีมือต่าง ๆ ที่นี่เราได้แต่งชุดชาวไทดำกันด้วย คุณป้า คุณน้า คุณยายที่นี่ใจดีมาก คอยแต่งตัวให้นักท่องเที่ยวมากมาย เพื่อให้ซึมซับบรรยากาศของชาวไทดำ มีการรำวงร่วมกันด้วย นำโดยรุ่นเดอะ และรุ่นเด็ก สนุกสนานกันมาก มีการละเล่นของชาวไทดำให้ร่วมสนุก ได้ของที่ระลึกกลับมาเป็น “หัวใจชาวไทดำ” งานฝีมือที่ชาวบ้านทำขึ้นเพื่อมอบให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือน ออกจากที่นี่ด้วยหัวใจที่เบิกบาน ออกจากหมู่บ้านไทดำเราได้แวะไปไหว้พระที่ “วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน” วัดสำคัญของชาวเชียงคานที่ว่า ถ้าไม่มาเยือนถือว่ามาไม่ถึงนะ วัดอยู่บนเนินเขา ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทให้ได้สักการะบูชา บริเวณวัดมีทุ่งหญ้าเล็ก ๆ ล้อมด้วยรั้วไม้ ข้างในมีน้องกระต่ายหลายสิบตัวเลย คาดว่าทางวัดเลี้ยงไว้ น้องน่ารักมาก เห็นมีคนมาก็กระโดดมาออกันเรียงแถวเลย ใกล้เย็นแล้วเดี๋ยวไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินที่แก่งคุดคู้...ออกจากวัดก็ตาม GPS ไปที่ “แก่งคุดคู้” แก่งหินขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่กลางลำน้ำโขงบริเวณช่วงโค้งพอดี ทำให้เกิดกระแสน้ำเชี่ยวไหลผ่านแก่ง ท้องเริ่มร้องแล้วเลยหาอะไรรองท้องหน่อย เป็นลูกชิ้นทอดไม้ละ 5 บาทเท่านั้น น้ำจิ้มอร่อยด้วย ทำให้นึกถึงชีวิตวัยเด็กเลยมีเงิน 5,10 บาทก็อิ่มได้ ตะลอนมาทั้งวันแล้ว ได้เวลากลับที่พัก ก่อนเข้าที่พักก็เดินชมถนนคนเดินเชียงคานไปด้วย ได้ของกินอีกเพียบเลย ทั้ง “กุ้งเสียบไม้” “ก๋วยจั๊บญวน” และของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านด้วย ที่เชียงคานในยามเช้ามี “การตักบาตรข้าวเหนียว” จะมีร้านค้า หรือตามที่พัก จัดเป็นเซ็ตใส่บาตรจะมี กระติ๊บข้าวเหนียวอาหารแห้ง และดอกไม้ แตกต่างกันไปในแต่ละเจ้า แต่ที่เหมือนกันคือ ข้าวเหนียว วิธีการคือ ให้เราปั้นข้าวเหนียวพอหยิบมือใส่ในบาตรเมื่อพระมาถึง จากนั้นวางอาหารแห้ง หรือขนมบนฝาบาตร ซึ่งการใส่บาตรข้าวเหนียว ชาวเชียงคานถือว่ากิจวัตรประจำวันที่ต้องปฏิบัติก่อนออกไปทำการงานของตนต่อ เป็นวัฒนธรรมอันดีงามที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน เสร็จจากการใส่บาตร เราก็รีบไปที่ “ภูทอก” คาดหวังที่จะได้เห็นทะเลหมอกภูทอก แต่ก็นะมาในช่วงหน้าร้อน หมอกก็ไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไหร่ แต่โชคดีที่อากาศยามเช้าที่นี่ค่อนข้างเย็น การจะขึ้นไปถึงด้านบนต้องต่อรถขึ้นภู 20 บาท ทางโค้งสุด ๆ แต่สนุกมาก ลงจากภูทอกเราก็ขี่รถชมวิวกันไปเรื่อย ๆ รอเวลา เพราะช่วงบ่ายจะไปชมประเพณีแห่ผีตาโขน ที่ อ. ด่านซ้ายระหว่างทางเจอป้ายบอกทางชี้ไป ‘วัดถ้ำผาแบ่น’ จึงลงความเห็นกันว่าแวะเข้าดูกัน ขี่รถเข้าไปจากทางลาดยางกลายเป็นทางลูกรัง สองข้างทางเป็นไร่มัน สวนยาง สวนกล้วย เข้าไปเรื่อย ๆ ใจหนึ่งเริ่มกลัว อีกใจก็อยากไปให้ถึง สักพักเริ่มมีรถชาวบ้านผ่านมาให้ชื่นใจ และสุดท้ายเราก็ถึงจุดหมาย เหมือนได้หลงยุคจริง ๆ เพราะสัญญาณโทรศัพท์หายเกลี้ยง บริเวณก็เงียบมากมีบันไดให่เดินขึ้นไปสักการะพระในถ้ำ ซึ่งต้นไม้ใบหญ้าราวกับอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์ ไหว้พระเรียบร้อยเราก็ลงมาเดินบริเวณวัดสักพัก ช่วงนั้นเหมือนกำลังมีการบูรณะซ่อมแซมบางส่วนอยู่ เพื่อเตรียมจัดงานใหญ่ของวัด ซึ่งวัดถ้ำผาแบ่นนี้ไม่ได้อยู่ในแพลนจึงเป็นการเที่ยวแบบออกนอกแพลนมาก แต่ก็ได้พบเจออะไรใหม่ ๆ ที่ดีมากเลย... การมาเที่ยวครั้งนี้เป็นการเปิดประสบการณ์การเดินทางครั้งสำคัญของเรามาก ทำให้เราเป็นคนรักในการเดินทาง เสพติดการพบเจออะไรใหม่ ๆ เป็นคนที่ทำอะไรก็มีแพลนล่วงหน้าตลอด มีความสุขทุกครั้งที่ได้วางแผนการเดินทาง ทำตามแผนสำเร็จและถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางให้คนอื่นได้รับรู้ และอยากออกเดินทางแบบเราบ้าง... ภาพถ่ายทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน