การได้ออกเดินทางไปเที่ยวกับเพื่อนรู้ใจ หรือไปกับคนที่เรารักและรักเรามันช่างเป็นรางวัลที่แสนจะวิเศษ ช่วงวันหยุดยาวกับการเดินทางแสนจะยาวนาน ผู้เขียนและเพื่อนแบกเป้ใบเก่งและเต้นท์หลังเก่าออกเดินทางเพื่อให้ไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากทั้งนั่งเครื่องบิน พวกเรานั่งเครื่องบินด้วยสายการบินนกแอร์ เดินทางจากสนามบินดอนเมืองถึงสนามบินนานาชาติอุดรธานี หลังจากนั้นพวกเราได้เช่ารถเพื่อเดินทางมุ่งหน้าสู่อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย พอไปถึงที่หมายเวลาประมาณ 11 โมงโดยประมาณ พวกเราได้โทรนัดแนะไว้กับผู้ใหญ่บ้านประธานชมรมการท่องเที่ยวของหมู่บ้านผู้เขียนจำชื่อหมู่บ้านไม่ได้ค่ะ ต้องขออภัยชราแล้วหลง ๆ ลืม ๆ พวกเราได้เช่ารถยนต์เปิดประทุนราคา 3,000 บาท นั่งได้ 6 คน แต่วันนั้นพวกเราไปกันเพียงสามคนแต่มีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งมาขอนั่งไปด้วยเลยได้ราคาลดลงนิดหน่อย ขอบคุณเครดิตภาพประกอบจาก facebook Miss Nam Ka เอ๊ะ ๆ ! เพื่อนๆ คงคิดว่าโหมีรถหรูมารับ รถเปิดประทุนหรูหราหมาเห่า นั้นก็คือ รถอีแต๊ก ที่ชาวบ้านแถวนั้นเขาเรียกกันนั่งรถอีแต๊ก หัวสั่นด๊อกแด๊กกันเลยทีเดียว ชาวบ้านใช้รถไถนาหรือเรียกอีกอย่างว่า “ควายเหล็ก” และใช้กระบะที่ทำมาจากไม้เป็นสิ่งประดิษฐ์ของชาวบ้านที่เป็นนวัตกรรมใหม่เลยหละ เพื่อน ๆ อยากรู้แล้วแน่เลยว่าวันนี้ผู้เขียนจะพาไปเที่ยวที่ไหน จุดหมายปลายทางของเราคือ “ภูบักได” ตั้งอยู่ อำเภอภูเรือ จังหวัดเลยอีสานตอนบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เราใช้เวลาจากหมู่บ้านขึ้นไปบนภูบักไดใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงโดยประมาณพอถึงลานจอด จะเป็นลานกว้างมาก พวกเราก็ต้องเดินทางเข้าไปที่พักอีก 1 ชั่วโมง บนภูบักได ไม่มีไฟฟ้าไม่สัญญาณอินเทอร์เนต ไม่มีไวไฟ ไม่มีแม้กระทั่งห้องน้ำ เวลาปวดหนักปวดเบาก็ห้องน้ำส่วนตัวของใครของมัน หาที่กำบังเอาเอง ถามว่าแล้วอาบน้ำที่ไหน ตอบเลยว่าไม่อาบ ฮ่าฮ่า แต่ละคนซักแห้งค่ะ ขอบคุณเครดิตภาพประกอบจาก facebook Miss Nam Ka ไฮไลท์ของภูบักได คือมีผาหลอกลวงที่นักท่องเที่ยวชอบไปถ่ายรูป ถือว่าจุดนี้เป็นที่น่าสนใจมาก เพราะเวลาถ่ายรูปออกมาทำให้ดูหวาดเสียว แต่ความจริงแล้วหน้าผากับพื้นดินไม่ไกลเลย มองดูอาจจะไกลตา และมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ทัศนียภาพที่อยากจะกอดไว้สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเลยทีเดียวการเดินทางของพวกเรามีทุกรสชาติ เพราะถนนยังเป็นถนนดินสีแดงทางลูกรังรถยนต์ไม่สามารถเดินทางได้ ขนาดพวกเรานั่งรถเปิดประทุน (รถอีแต๊ก) ยังหัวสั่นหัวคลอนสัมผัสธรรมชาติมาก ๆ ได้ลิ้มรสความยากลำบากต้องใช้ความอดทน อดทนกับความหนาว เพราะเราไปช่วงเดือนธันวาคมที่มีช่วงวันหยุดยาว จำได้ว่าอุณหภูมิบนยอดภูประมาณ 13 องศาเซลเซียล ซึ่งหนาวมากอาหารที่เลิศที่สุดคือ มาม่าต้ม ไวไว ยำยำ ก็ได้ตามใจชอบนะคะ ฮ่าฮ่า ส่วนสถานที่พักเรานำเต้นท์กันไปเอง ไม่เสียค่าบริการในการกางเต้นท์ เพราะที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแบบส่วนตัวธรรมชาติสุด ๆ ไม่ได้เป็นเชิงพาณิชย์ผู้คนยังไม่รู้จักมาก เพราะระยะทางค่อนข้างลำบาก แต่ถึงจะลำบากทำให้ได้บรรยากาศการเที่ยวผจญภัยมันท้าทายมาก เรานอนพักแรมบนภูบักได 1 คืนก่อน ขอเก็บภาพบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นมาฝากเพื่อน ๆ ที่ใครให้แล้วต้องไปสักครั้งไปแล้วจะหลงรักเขาอย่างไม่รู้ลืมขอบคุณเครดิตภาพประกอบจาก facebook Miss NamKa ผู้เขียนเชื่อว่าการท่องเที่ยวเป็นการชาร์จแบตให้กับตัวเองให้ตัวเองมีพลังและความสุขในร่างกายจะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะตลอดทริป ผู้เขียนเอาภาพบรรยากาศสวย ๆ มาฝากให้เพื่อน ๆ ได้ชมความงามจากธรรมชาติ ภูบักได เพี้ยนมาจากคำว่าภูบักได๋ ส่วนชื่อนี้มีจุดเริ่มมาจากที่ใดก็ไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่อยากให้ทุกคนได้ไปสัมผัสสักครั้งแล้วคุณจะบอกว่า “ภูบักได ไม่ไปไม่รู้” ขอบคุณเครดิตภาพประกอบจาก facebook Miss Nam Ka เรื่องโดย สาวภูธร