วันนี้จะมาพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องบอกว่า นี่มาเที่ยวหรือมาทรมานตัวเองกันแน่ ด้วยการที่ผมเป็นคนที่ชื่นชอบท่องเที่ยวเกี่ยวกับธรรมชาติ ยิ่งพวกเดินป่าแล้วยิ่งชอบมาก ๆ ทำให้เกิดไอเดียขึ้นมาว่าอยากไปเที่ยวที่ภูกระดึง ซึ่งน่าจะได้สัมผัสธรรมชาติอย่างเต็มที่ และได้เดินป่าตามที่ตัวเองชื่นชอบอีกด้วย การเดินทางไปภูกระดึงจากกรุงเทพฯ จนถึงภูกระดึงนั้นระยะทางก็ประมาณ 500 กว่ากิโลเมตร ผมออกเดินทางตั้งแต่เวลา 23.00 น. ก็มาถึงตอนเช้าพอดี สำหรับสถานที่จอดรถนั้นมีค่อนข้างเยอะหาที่จอดได้ไม่ยาก เอาหล่ะก่อนขึ้นเขาก็เตรียมพร้อมสัมภาระให้เรียบร้อย บริเวณก่อนทางขึ้นนั้นก็จะมีร้านอาหารต่าง ๆ มากมาย ให้เลือกทานอาหารกันก่อน ดังนั้นควรเพิ่มพลังกันก่อนสักนิด ทานอาหารเสร็จเรียบร้อยก็พร้อมสำหรับการเดินขึ้นเขาระยะไกลกันแล้ว สำหรับคนที่มีสัมภาระเยอะ สามารถไปจ้างลูกหาบได้บริเวณก่อนทางขึ้นเขา ว่าแล้วก็ไปกันเลย ก่อนทางขึ้นก็จะเจอกับป้ายซุ้มโค้ง ๆ ใหญ่ ๆ ที่บอกว่าขอต้อนรับสู่เส้นทางพิชิตภูกระดึง เมื่อผ่านเข้าไปแล้วก็จะเจอกับป้ายบอกระยะทางต่าง ๆ รวมถึงหลักกิโล ที่บอกว่าหลังแป ระยะทางอีก 5.5 กิโลเมตร แต่ที่เราจะเดินขึ้นไปนั้น จะไม่ใช่แค่ 5.5 กิโลเมตร เพราะเราต้องเดินถึง 9 กิโลเมตร เพื่อไปถึงวังกวางซึ่งเป็นศูนย์บริการและจุดกางเต็นท์ เริ่มเดินขึ้นในช่วงแรก ๆ นั้นเส้นทางเดินยังค่อนข้างเดินสบาย ๆ เรียกว่าเดินชมนกชมไม้ได้อย่างสบาย ๆ อยู่ ส่วนบรรยากาศนั้นก็จะเย็น ๆ แต่ไม่ถึงกับหนาว เดินมาได้สักระยะก็จะมีร้านขายของ ขายอาหาร น้ำดื่มไว้บริการนักท่องเที่ยว เพื่อพักเหนื่อยเป็นระยะ ๆ ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะไม่มีอะไรกิน ที่แนะนำเลยคือไข่ทรงเครื่อง ซึ่งอร่อยมาก ๆ กินไปแล้วรู้สึกว่ามีพลังเดินต่อเลย เส้นทางการเดินนั้นจะมีความยากง่ายสลับกันไป บางช่วงเดินยากมาก ๆ ซึ่งถึงขนาดต้องปีนป่ายก้อนหินก็มี แต่ก็มีช่วงให้เดินพักแบบชิล ๆ บ้างเหมือนกัน ในจุดที่มีความสูงชันนั้นก็จะมีราว 2 ข้างให้เดินเกาะไปได้ และต้องบอกว่ายิ่งช่วงที่เดินไปใกล้ ๆ จะถึงหลังแปนั้น เส้นทางจะเริ่มมีความยากลำบากเพิ่มมากขึ้น รวมถึงความสูงชัน ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่เหนื่อยเอาเรื่องเลย แต่เมื่อถึงหลังแป แล้วต่อจากนั้นจะเป็นการเดินทางลาดอีก 3.5 กิโลเมตร แต่ทางเดินสบายไม่ต้องปีนป่ายแล้ว เมื่อเดินไปถึงก็จะพบกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ก็เข้าไปติดต่อเรื่องพื้นที่กางเต็นท์ได้เลย สำหรับท่านใดที่ จ้างลูกหาบหาบสัมภาระขึ้นมา ก็จะมารอที่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เมื่อลูกหาบมาถึงก็จะนำสัมภาระของเรามาวางไว้บริเวณที่ศูนย์บริการจัดเตรียมไว้ ติดต่อพื้นที่กางเต็นท์เรียบร้อยก็หาที่เหมาะ ๆ กางเต็นท์ได้เลย บริเวณพื้นที่กางเต็นท์ มีที่กางเต็นท์เยอะมาก ๆ และมีพื้นที่ราบเรียบเหมาะสำหรับกางเต็นท์อย่างมาก บริเวณพื้นที่บนนี้จะมีร้านอาหารมากมาย อาหารยอดฮิตของที่นี่คือ หมูกระทะ ซึ่งมีหลายร้านเลย ในส่วนของห้องน้ำ ห้องอาบน้ำนั้นก็มีเพียงพอสำหรับนักท่องเที่ยว ว่าแล้วก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปถ่ายรูปที่ป้ายยอดฮิตสักหน่อย สำหรับสถานที่ไฮไลท์ของที่นี่จะอยู่ที่ ผาหล่มสัก ซึ่งต้องเดินจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวไปอีกประมาณเกือบ 13 กิโลเมตร แต่เส้นทางการเดินนั้นจะไม่ได้ยากลำบากเหมือนกับตอนที่เราเดินขึ้นมาที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ตามเส้นทางเดินนั้นก็จะมีป้ายบอกระยะทางของสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งตามเส้นทางที่จะไปผาหล่มสักนั้น จะมีที่แวะให้พักผ่อนทั้งน้ำตก และบริเวณจุดที่มีความสวยงามมากมาย ระหว่างทางนั้นก็จะมีมุมให้ได้แวะถ่ายรูปตลอดเส้นทาง อันนี้น่าจะถูกใจสำหรับสาว ๆ กันเลย เรียกได้ว่ามาที่เดียวได้รูปไปลง Facebook กันยาว ๆ เลย ใช้เวลาเดิน ประมาณ 3 ชั่วโมงก็มาถึงผาหล่มสัก บริเวณผาหล่มสักก็จะมีนักท่องเที่ยวมาคอยถ่ายภาพบรรยากาศในช่วงพระอาทิตย์ตก และผมก็ใช้จุดนี้นั่งชมวิว ชมบรรยากาศพระอาทิตย์ตก บริเวณผาหล่มสักนั้นจะมีร้านค้าขายอาหารและเครื่องดื่มอยู่ด้วย เมื่อชมพระอาทิตย์ตก ก็เดินทางกลับเต็นท์ ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โดยการเดินกลับนั้นให้เดินกลับเกาะกลุ่มไปกับผู้คน เพราะทางเดินค่อนข้างมืดมาก พอเริ่มมืดอากาศก็เริ่มหนาว แต่ก็ได้ประสบการณ์การเดินป่าในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งโดยปกติเราคงไม่ได้มาทำอะไรแบบนี้ง่าย ๆ เดินมาสัก 2 - 3 ชั่วโมง ก็กลับมาถึงเต็นท์ บริเวณลานกางเต็นท์ในช่วงกลางคืนนั้น ค่อนข้างจะคึกคักมาก ๆ มีผู้คนมากมายออกมากินอาหารยอดฮิต คือหมูกระทะ และอีกอย่างนึงคือ มาม่ากระป๋อง กินอะไรเรียบร้อยก็พักผ่อนเอาแรงสำหรับวันพรุ่งนี้ที่ต้องเดินลงอีก บรรยากาศในตอนเช้ามีหมอกลงมาหนามาก ๆ และมีอากาศหนาว พื้นที่ชื้นเปียกไปหมดจากความเย็น ว่าแล้วก็เก็บเต็นท์เก็บสัมภาระเตรียมตัวลง สำหรับการเดินลงนั้น ใครที่มีความประสงค์จ้างลูกหาบ ก็มีจุดบริการรับจ้างเช่นเดียวกับด้านล่าง โดยการเดินลงนั้นก็จะใช้เส้นทางเดียวกับทางที่ขึ้นมา แต่การเดินลงในช่วงเช้านั้น ควรต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เนื่องจากอากาศที่เย็นมีความชื้นสูงนั้น ทำให้ทางเดินลื่น ยิ่งพวกหินจะลื่นมาก ๆ ในขาลงนั้นจะใช้เวลาเร็วกว่าขาเดินขึ้นมาก ๆ ไม่ถึง 3 ชั่วโมงก็เดินลงมาถึงด้านล่างแล้ว สรุปว่าการมาเที่ยวภูกระดึงในครั้งนี้ต้องบอกว่าได้อะไรหลาย ๆ อย่าง ทั้งความท้าทาย ทั้งประสบการณ์ใหม่ ๆ สำหรับใครที่ยังไม่เคยได้ไปสัมผัส แนะนำต้องลองไปพิชิตภูกระดึงสักครั้ง ไม่ใช่แค่การเดินป่า แต่ท่านจะได้อะไรอีกหลาย ๆ อย่างจากการมาที่ภูกระดึง ที่มาภาพหน้าปก และภาพประกอบทั้งหมด โดย Tae Rattawat ( ผู้เขียน )