สวัสดีเด้อ...ภูกระดึงที่รัก กว่าทริปนี้จะสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างได้ เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เปลี่ยนจนจะล้มเลิกไม่ไปซะแบบดื้อ ๆ แต่สุดท้ายก็ได้มาจนได้ และทริปนี้เป็นทริปแบบ 3 วัน 2 คืน กับคนรู้ใจอีกเช่นเคย ไปกันค่ะ เดี๋ยวเราจะพาไปเที่ยว ทริปนี้เราเลือกมาตอนหน้าหนาว ซึ่งเราเลือกมาตอนสิ้นปี อากาศหนาวจัดได้ที่พอดี ทริปนี้เราไม่ขับรถมานะจ๊ะ เราเลือกใช้การเดินทางแบบสาธารณะ โดยการนั่งรถทัวร์สายภูกระดึงทัวร์ (ราคา 398 บาท) ขึ้นที่หมอชิตใหม่ เราเลือกรอบหัวค่ำเพื่อให้ถึงที่จุดจอดผานกเค้าตอนตี่ 4 ซึ่งเราจะต่อรถสองแถวแดงรอบแรก (ราคา 30 บาทต่อคน) เพื่อเข้าไปที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง การนั่งรถแดงตอนเช้าตรู่มันช่างดีเลิศเสียจริง เพราะคุณจะได้สัมผัสไอเย็นของหมอกและอากาศหนาวตีกระทบที่หน้า จากที่ง่วงนอนอยู่ ตื่นได้ทันทีเลยจ้า เราใช้เวลาไม่เกิน 30 นาทีก็ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ซึ่งเวลาตอนนี้ก็สักราว ๆ เกือบตี 5 ซึ่งยังไม่มีใครเลยแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ เราเลยใช้เวลานี้เดินสำรวจพื้นที่บริเวณโดยรอบกันไปพลาง ๆ ทั้งยืดเส้นยืดสาย และนั่งหลับเพื่อรอเวลาเจ้าหน้าที่มาประมาณสักเกือบ 7 โมงเช้า ใกล้เวลาสัก 6 โมงเช้ากว่า ๆ เหล่าบรรดานักท่องเที่ยวเริ่มทยอยกันเข้ามาลงทะเบียนนักท่องเที่ยวพร้อมทั้งจองเต็นท์ว่าเราจะนอนค้างกันกี่คืน ใช้อะไรบ้างเช่น ผ้าห่ม ผ้ารองนอน หมอน เราต้องจองกันตั้งแต่ข้างล่างตรงจุดนี้กันก่อนเลย เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่เขาได้ตระเตรียมให้เพียงพอต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่ขึ้นไป หลังจากเราจองทุกอย่างกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนเดินขึ้นเขาเราจึงเติมเสบียงอาหารแห้งกันก่อนสักเล็กน้อย พร้อมทั้งหาอาหารเช้ากินกันก่อน ซึ่งบริเวณในอุทยานนั้นมีร้านค้า ร้านอาหารซึ่งก็มีทั้งข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว ร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึกรวมไปถึงพวกหมวกไหมพรมกันหนาว เสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ หากใครลืมพกเจ้าสิ่งนี้ แนะนำให้ซื้อที่นี่ได้เลย เราสอยมาใช้แล้วเป็นหมวกไหมพรมราคา 100 บาท อุ่นกำลังดี หากคุณไปซื้อข้างบนราคาจะแพงกว่านี้อีกนะ หลังอิ่มท้องแล้วแนะนำให้เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยเพราะหนทางที่คุณจะต้องเจอมันอีกยาวไกลนัก แล้วจะหาว่าเราไม่เตือน มาถึงจุดก่อนขึ้นเขาเราต้องลงทะเบียนสัมภาระที่เราเอาติดตัวมาด้วย โดยเขาจะนับเป็นชิ้น ว่าเราหอบหิ้วอะไรขึ้นไปบ้าง และเราต้องวางมัดจำขยะในราคา 100 บาท และจะคืนให้เมื่อคุณนำขยะลงมากับคุณด้วย (เราว่าไอเดียนี้ดีมาก ๆ เป็นการช่วยลดการใช้ขยะไปในตัวด้วย) เราเริ่มเดินทางกันตอน 7 โมงเช้า พอเจอด่านแรกเข้าไปเท่านั้นล่ะ ทั้งไอทั้งจามเลยเพราะเราเจอชั้นดินดานแถมดินแดงเข้าไปอีก จุดนี้เราแนะนำให้เพื่อนคนไหนที่แพ้ฝุ่น แพ้อากาศ พกผ้าปิดจมูกไปด้วยนะจะช่วยได้เยอะทีเดียว เดินไต่เขาขึ้นไปเรื่อย ๆ ผ่านไปแต่ละชั้น หรือที่เราเรียกว่า ซำ (บริเวณที่มีน้ำขัง มักเป็นแหล่งที่มีสัตว์ป่ามาพักกินน้ำ) แต่อีกนัยหนึ่งคือ จุดพักร่างกายและแวะถ่ายรูปนั่งชมวิว ตลอดจนเติมเสบียงอาหารและเข้าห้องน้ำนั้นเอง ซึ่งซำจะมีทั้งหมด 8 ซำ ไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ขอบอกเลยว่าเราแวะพักขากันเกือบทุกซำเลย พักจนคนที่มาด้วยสงสารขนาดว่าเอาเป้ของเราไปแบกให้ด้วย แอบซึ้งน้ำตาไหลเลยทีเดียว ซึ่งเขาก็แบกเป้ใบใหญ่ของเขาอยู่แล้วหนึ่งใบ แถมยังต้องแบกพวกอาหารแห้งขนมกองกลางอีก เขาถึงบอกว่าใครที่ขึ้นภูกระดึงแล้วไปกับคนรัก ถ้าไม่รักกันมากกว่าเดิมก็เลิกกันไปเลย เราว่าเขาพูดเรื่องจริงนะ เราพิสูจน์มาแล้ว รักมากกว่าเดิมเลย หลังจากผ่านซำแต่ละซำมาจนถึงซำสุดท้ายนั้นก็คือ ซำแคร่ นั้นเอง หลังจากผ่านมาทั้งหมด 7 ซำด้วยกัน มีอยู่ช่วงหนึ่งก่อนที่จะถึงหลังแป ซึ่งคือทางราบหลังจากผ่านซำสุดท้ายมาแล้ว เราขอบอกว่ามันเป็นทางที่หินและโหดสำหรับเรามากที่สุด ของที่สุด เพราะเราต้องปีนขึ้นหน้าผา ด้วยความสูงแบบ 90 องศา แถมบันไดเหล็กผุ ๆ จะพังไม่พังแหล่อยู่แล้ว ระหว่างปีนขึ้นไปใจก็นึก "อย่าพังนะ เหนื่อยเหลือเกิน ยอมแพ้ตอนนี้ดีไหม กลับเหอะ" ใจคิดไปต่าง ๆ นานา แต่สุดท้ายปีนถึงจนได้ แล้วเราก็เดินขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงหลังแป ด่านทางราบก่อนถึงลานกางเต็นท์ เอาจริง ๆ นะ ตอนแรกพอเห็นทางราบ เห็นป้ายไม้สลัก "ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง" เห็นคนยืนถ่ายรูปกันเยอะแยะ ดีใจสุดตัว ถึงแล้วแน่นอนฉันจะได้พักขา พักกายแล้ว แต่ผิดคาดจ้า เขาหลอกดาว คือเราต้องเดินไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตรกว่า ๆ ถึงจะถึงศูนย์บริการบนยอดเขาจริง ๆ ซึ่งต้องบอกว่าหลังจากไต่เขาขึ้นมาตั้งแต่ 7 โมงเช้า ณ ตอนนี้ก็ปาไปเกือบ 6 โมงเย็น 11 ชั่วโมงกับการเดินทาง ทำให้แข้งขาปวดร้าวเกินบรรยาย เอ็นร้อยหวายที่ใช้งานอย่างหนักหน่วงจนต้องหยุดพ่นสเปรย์เย็นทุก ๆ 15 นาที และที่สำคัญต้องแบกน้ำหนักตัวเองที่มากกว่า 80 กิโล ถอดใจถึงที่สุด จนเกือบจะทะเลาะกับแฟน มีหลายครั้งมากที่พูดกับแฟนว่า เธอเดินนำหน้าเราไปเลย ไม่ต้องรอ (คือแบบว่า ทิ้งฉันไปเหอะ ฉันไม่โกรธ ฉันเหนื่อยมากกว่า) จนแล้วจนรอด เราก็เดินมาถึงจนได้ ฟ้ามืดพอดี เวลานี้คิดอย่างเดียว รีบลงทะเบียนที่ศูนย์บริการก่อนที่เจ้าหน้าที่จะกลับกันซะก่อน ถึงจุดนี้เราต้องเอาใบที่เราทะเบียนจากข้างล่างแสดงให้เจ้าหน้าที่ข้างบนดู แล้วเราก็รับเครื่องนอนต่าง ๆ ที่ชำระเงินไว้ เขาจะให้เราเลือกเต็นท์ว่าเราจะนอนกันบริเวณไหน (เข้าใจว่าเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเอง) เราเลือกนอนบริเวณใกล้กับทางไปห้องน้ำเพื่อความสะดวก และที่สำคัญมันมีไฟ เผื่อเวลาตอนดึก ๆ ต้องเข้าห้องน้ำ ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมคะ เห็นที่นอน หมดแรงทันที สลบยาวโดยไม่อาบน้ำ ไม่กินข้าว ตื่นอีกทีก็ตี 4 เลย ออ...ลืมบอกไปว่าเราได้จองทริปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นซึ่งต้องเริ่มเดินเท้ากันตอนตี 5 ซึ่งต้องมีเจ้าหน้าที่อุทยานคอยนำทางนะ ห้ามเดินเข้าไปเอง ขอบอกว่า หลงทางแน่นอน หลังจากเราเตรียมตัวเองเรียบร้อย กินอะไรรองท้องสักเล็กน้อยแล้ว ก็ไปรวมตัวกันที่ศูนย์บริการ ซึ่งก็ไม่ต้องกลัวว่าเราจะไม่ตื่นนะจ๊ะ ทางเจ้าหน้าที่จะคอยประกาศให้นักท่องเที่ยวที่จองทริปไว้มารวมตัวกัน รวมตัวกันทางสักพักก็เริ่มเดินทาง ก็เดินตาม ๆ กันไปในเส้นทางมืด ๆ อากาศก็หนาวมาก แนะนำให้เตรียมเสื้อกันหนาวแบบหนาหน่อย หมวกกันหนาว ผ้าพันคอ ถุงมือ ถุงเท้า รองเท้าผ้าใบจะดีมากเพื่อความคล่องตัว เดินกันมาราว ๆ สักเกือบ 20 นาทีก็ถึง ตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นนะคะ เราเลือกนั่งจับจองที่นั่งเพื่อรอพระอาทิตย์ขึ้น (นั่งกับพื้นนะจ๊ะ เขาไม่มีโต๊ะเก้าอี้ให้) งดงามเกินบรรยายจริง ๆ ไม่รู้จะบรรยายอย่างไร ถ้าถอดใจไปก่อนก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์นี้ แสงพระอาทิตย์ตกกระทบกับก้อนเมฆเป็นริ้วเป็นชั้น สีสันส้มเหลืองฟ้าครามสลับชั้นไปมา มองออกไปมีแต่ทะเลหมอกกับหุบเขาที่เคว้งคว้าง นั่งมองทอดอารมณ์ออกไป ได้สูดอากาศโอโซนบริสุทธิ์ ที่หาไม่ได้ในเมืองใหญ่ เกิดความสงบที่ใจอย่างบอกไม่ถูก ใครมาภูกระดึงต้องมาแลนด์มาร์คที่นี่นะ ไม่มาถือว่าพลาด เรามีทริคเล็ก ๆ ให้นะ ถ้าอยากชมพระอาทิตย์ขึ้น ต้องผานกแอ่น ชมพระอาทิตย์ตกยามเย็น ต้องผาหล่มสัก อยากเล่นน้ำ ก็ต้องน้ำตกวังกวาง ช่วงหน้าฝนน้ำจะเยอะหน่อย ทากก็ชุมตาม หรือชมใบเมเปิ้ลที่น้ำตกเพ็ญพบใหม่ ใบเมเปิ้ลสีแดงส้มน้ำตาล ถ่ายรูปออกมาอย่างสวยงามมาก และเที่ยวสวนหินธรรมชาติที่มีพรรณไม้ขึ้นนานาพันธุ์ อย่างสระน้ำอโนดาต ต้องบอกตามตรงว่าบนภูกระดึงนี้มีที่เที่ยวเยอะจริง ๆ ใครที่พอมีเวลาเที่ยวเยอะหน่อยแนะนำให้ค้างคืนสัก 3 คืนขึ้นไปถึงจะคุ้มค่าแก่การขึ้นเขามา ใครที่ไม่อยากแบกสัมภาระรู้สึกหนักก็จ้างชาวบ้านให้แบกขึ้นมาก็ได้นะ เขาคิดกิโลละ 30 บาทเอง หรือใครไม่อยากเดินก็ให้เขาแบกมาได้อีก ต้องบอกว่าเขาหามขึ้นเปลเลยนะ ก็ลองคิดเอาเองว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ สำหรับเราถ้าจ้างแบกขึ้นเขาคงต้องจ่ายราวๆ สัก 2400 บาท บอกเลยจ้าไม่สู้ราคานี้จริง ๆ แต่ก็แอบเห็นมีคนจ้างหาบขึ้นเขาจริง ๆ นะ มาดูเรื่องอาหารการกินสักหน่อย บนภูกระดึงมีอาหารให้กินเพียบพร้อมมาก ไม่ต้องกลัวอดเลย แนะนำช่วงเย็น ๆ ให้ไปนั่งกินหมูกระทะท่ามกลางอากาศหนาว ๆ รับรองโรแมนติกมาก ส่วนช่วงเช้าต้องไข่กระทะ เพิ่มพลังงานก่อนออกทริป แล้วช่วงสาย ๆ หน่อยแวะไปร้านขายโปสการ์ด เลือกสักใบเขียนถึงตัวเองหรือเพื่อน คนที่รัก ก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ จบทริปนี้ไปแล้วต้องบอกว่า ร่างกายได้เติมพลังถึงแม้ว่าร่างกายจะปวดร้าวหลังจากลับลงเขามาแล้วก็ตาม แต่ในใจนั้นยังคงความรู้สึกภาคภูมิใจ สุขใจ สุขกาย ใครอยากพิสูจน์ความอดทนของตัวเอง หรืออยากเอาชนะใจตน คุณต้องมาที่นี่ แล้วคุณจะรู้ว่ามันคุ้มค่าจริง ๆ ใครอยากพิสูจน์ความอดทนของตัวเอง ต้องที่ : อุทยานแห่งชาติภูกระดึง อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย เดินทางโดย : รถทัวร์สายกรุงเทพ-เมืองเลย, บขส หรือ โดยรถยนต์ หรือ โดยรถไฟ สายหัวลำโพง-ขอนแก่น ต่อรถโดยสารสาย ขอนแก่น - เลย ติดต่อ : 042-810833, 042-810834 E-mail : pkd_11@hotmail.com ที่พัก, อาหารเครื่องดื่ม : มีจำหน่าย เครือข่ายมือถือ : มี รูปภาพหน้าปก : โดยผู้เขียนเอง รูปภาพประกอบที่ 1-12 : โดยผู้เขียนเอง