วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ที่กาลครั้งหนึ่งเคยไป “ภูกระดึง” ว่ามีอะไรที่น่าประทับใจบ้าง ถ้าทุกคนพร้อมกันแล้วไปติดตามกันเลยครับ! ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาปิดเทอมของเด็กเรียนมหาวิทยาลัย เราทุกคนต่างอยากจะไปเที่ยวกับเพื่อนสักครั้งก่อนจบมหาวิทยาลัย ผมและเพื่อน ๆ เลยได้นัดกันว่าจะไปเที่ยวภูกระดึง เพื่อสัมผัสธรรมชาติอันเขียวขจี และป่าไม้นานาพันธุ์ ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนนะครับว่าที่ผมกับเพื่อนนัดกันไปที่ภูกระดึง เพราะพวกเราเรียนสาขาชีววิทยา เลยอยากจะไปที่มีธรรมชาติเพื่อศึกษาเรียนรู้ไปในตัว นั่นเองครับ DAY 1วันแรกของการไปเที่ยว พวกเราได้นัดกันช่วงสาย ๆ ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 13:00 น. ที่หน้ามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เพื่อที่จะรอขึ้นรถมอแดง (ค่าบริการ 10 บาทตลอดสาย) เข้าไปในตัวเมืองอุบลราชธานี พอถึง บขส. พวกเราก็รีบวิ่งไปดูรอบรถที่จะไปจังหวัดขอนแก่น และได้จัดการซื้อตั๋วรถสายอุบล-ขอนแก่นใหม่ ( ราคาตั๋ว 209 บาท) ตอนแรกนึกว่าจะมาช้าแต่ที่ไหนได้ พวกเราได้นั่งรอรถที่จะไปจังหวัดขอนแก่นเกือบ 30 นาทีได้ คิดแล้วก็ตลกตัวเองที่ทริปยังไม่เริ่ม ก็เริ่มที่จะไปไม่ถูกกันซะแล้ว! พอถึงเวลาขึ้นรถพวกเราก็นั่งเลขที่นั่งของตัวเอง แล้วรถออกเดินทางได้ไม่นาน ก็หลับกันเหมือนเหนื่อยมาจากไหน สงสัยอาจจะตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรก เลยไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากการเดินทางอันแสนยาวไกลก็มาถึงกันสักที บขส. ขอนแก่นใหม่ พอลงรถเก็บสิ่งของที่นำมาเสร็จก็เป็นเวลา 20.56 น. สิ่งแรกที่คิดเมื่อถึงขอนแก่นคือ หาร้านอาหาร เพราะตั้งแต่นั่งรถมายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย พอกินข้าวเสร็จพวกเราก็ได้ไปซื้อตั๋วรถขอนแก่นเมืองเลย (ราคาตั๋ว 249 บาท) ซึ่งหารู้ไม่ว่า เวลาที่รถออกคือเวลา 03:30 น. พวกเราก็ได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ข้ามเวลาจนเวลาที่รอคอยก็มาถึง ในขณะนี้เป็นเวลา 03:40 น. รถยังไม่ออกเนื่องจากเกิดปัญหาขัดข้องบางอย่างเกี่ยวกับตัวรถ เลยได้เปลี่ยนรถคันใหม่ หลังจากขึ้นรถเสร็จแล้วจะมีพนักงานของรถมาถามว่าจะมีใครลงที่ "ผานกเค้า" ไหมซึ่งก็เป็นไปตามคาดครับ ทุกคนที่อยู่บนรถลงหมดเลย DAY 2 อรุณสวัสดิ์ยามเช้าที่ "ผานกเค้า" หลังจากที่รถมาถึงก็เป็นเวลาประมาณ 06:10 น. ลงรถแล้วเราก็ไปฝั่งร้านเจ๊กิม ที่ร้านเจ๊กิม มีข้าวราดแกง มีกาแฟสด และมีห้องน้ำบริการ จะทานข้าวเช้า อาบน้ำเปลี่ยนชุด ที่พูดมาทั้งหมดผมได้แค่ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเดินมานั่งที่รอคิวรถสองแถว เพราะอยากไปถึงอุทยานเช้า ๆ คนจะได้ไม่เยอะครับ ราคารถสองแถวจะอยู่ที่ 300 บาท/คัน (ถ้าเหมา) รถออกเลย มาถึงอุทยานแล้ว ก็มองหาศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเลยนะครับ เพราะต้องติดต่อซื้อบัตร และจองเต็นท์ครับ พอจองเต็นท์เสร็จแล้ว ก็เอากระเป๋าหรือสิ่งของสัมภาระที่จะใช้บริการลูกหาบ เอาไปชั่งน้ำหนัก และรับบัตรสัมภาระ ค่าบริการ 30 บาท/กิโลกรัม เท่านั้นเองครับ มันคงถึงเวลาแล้วสินะ เอาล่ะได้เวลาที่ต้องเดินแล้ว เริ่มออกเดินเวลา 08:30 น. จากตีนภูกระดึงถึงหลังแป รวมระยะทาง 5.5 กม. ทางจะเป็นทางชันสลับทางราบ มีร้านค้าตลอดเส้นทาง ตามซำต่าง ๆ เช่น ซำแฮก ซำกกกอก ซำกกไผ่ ซำกกโดน ซำแคร่ เป็นต้น ในที่สุดก็ถึงหลังแปสักที ซึ่งทางขึ้นบอกเลยว่าสุดยอดและโหดมาก พอมาถึงเราก็ใช้เวลาพัก ถ่ายรูปนานหน่อย ก่อนที่จะต้องเดินทางกันต่อไป ถึงสักทีที่พักอันอบอุ่นของพวกเรา หลังจากที่ถึงที่พักก็ต้องไปติดต่อที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เพื่อรับเต็นท์ ถุงนอน เบาะรองนอน รอรับสัมภาระจากลูกหาบ และเข้าที่พัก (อย่าลืมอาบน้ำก่อนเข้านอนด้วยนะทุกคน) Day 3 อรุณสวัสดิ์ยามเช้าวันที่ 3 ตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่กันเลยทีเดียว เนื่องจากจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ "ผานกแอ่น" ก่อนจะไปก็ต้องล้างหน้าแปรงฟัน แล้วก็ออกเดินทางอีกแล้ว! ระยะทางไปกลับเกือบ 4 กม. ได้เวลาปวดขาแต่เช้าเลย หลังจากกลับจากดูพระอาทิตย์ขึ้น พวกเราก็ได้ไปหาอะไรกินเป็นข้าวเช้า เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปยังจุดชมวิวของภูกระดึงจุดต่าง ๆ จุดแรกของวันนี้คือ น้ำตกวังกวาง แล้วเดินต่อจากน้ำตกวังกวางไปเป็นน้ำตกเพ็ญพบใหม่ แต่จุดหมายของเราในวันนี้คือ "ผาหล่มสัก" พูดแล้วก็ไปกันต่อเลย! พวกเรามาถึงผาหล่มสัก เวลาประมาณ 16.00 น. แต่ก็ไม่ได้อยู่รอดูพระอาทิตย์ตก เนื่องจากพวกเรากลัวเวลาเดินทางกลับไปที่พักจะค่ำเสียก่อน เลยตัดสินใจถ่ายรูปและออกเดินทางมุ่งหน้าไปที่พักกันต่อไป หลังจากเดินทางกันมาเป็นเวลานานแสนนาน รีบไปอาบน้ำแล้วแต่งตัวเพื่อที่จะไปกิน “หมูกระทะ” ที่แสนอร่อยของพวกเรา DAY 4 วันนี้เป็นวันสุดท้าย สาย ๆ ก็เก็บของ ทานข้าว อาบน้ำ พร้อมออกเดินทางกลับ ส่วนถุงนอน หมอน ผ้าห่ม ส่งคืนที่ทำการเช็คความพร้อมให้เรียบร้อยด้วยนะครับ ส่วนตัวรู้สึกว่า ขาลงใช้เวลาน้อยกว่าขาขึ้นมากมายเลยนะครับ และที่สำคัญอย่าลืมตัดเล็บเท้าให้เรียบร้อยด้วยนะครับ เพื่อความปลอดภัยของทุกท่าน หากท่านไหนไปมาแล้วสามารถแชร์ความรู้สึกหรือคิดอยากจะออกเดินทางก็ไปกันเลย!! (ภาพถ่ายทั้งหมดโดยผู้เขียน)