เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน เป็นช่วงเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทาง แล้วแต่กรมอุตุวิทยาจะป่าวประกาศ แต่สิ่งที่มาพร้อมกับฤดูฝนที่เรารอคอยนั้น ก็คืออาหารที่สามารถหากินได้ตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นหน่อไม้ หรือ เห็ด และจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า "เห็ดถอบ" หรือ "เห็ดเผาะ" นั้นเป็นอาหารยอดนิยม ขึ้นชื่อในความอร่อย ยิ่งถ้าได้เห็ดที่อ่อน ๆ แกงใหม่ ๆ สด ๆ จะให้ความกรุบกรอบอร่อย แต่เห็ดเผาะ หรือเห็ดถอบนี้ 1 ปี จะออกดอกให้เราได้เก็บกินเพียงปีละครั้งเท่านั้น ด้วยความจำกัดนี้ทำให้การตามล่าหาเห็นเผาะจึงเป็นภารกิจที่ชาวบ้านหลายหมู่บ้านพยายามค้นหา เพราะนอกจากรสชาติที่ถูกใจแล้ว ราคาที่แฟนพันธุ์แท้ได้เสนอให้ก็ล่อตาล่อใจไม่เบา สำหรับราคาเห็ดเผาะถ้าหากไปซื้อที่ตีนเขา ก็คือซื้อจากชาวบ้านที่พึ่งเก็บลงมาจากเขานั้นสนนราคากันที่ กก.ละ 200 บาท และจะถีบตัวขึ้นสูงไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ 300-500 บาทเลยทีเดียว จึงไม่แปลกใจเลยที่เมื่อเราขึ้นไปบนเขาจะพบชาวบ้านต่างถิ่นมาหาเห็ดเผาะกันประหนึ่งงานบุญขนาดย่อมบนเขาเลยทีเดียว บางหมู่บ้านเหมารถมาเป็นคัน ๆ เลยก็มี การเข้าป่าล่าเห็ดนั้น น่าจะอาศัยดวงมากพอ ๆ กับการแทงหวย เพราะคนไหนโชคดี แค่เดินไปแถบตีนภูก็อาจจะเจอเห็ดได้เลย แต่ถ้าวันไหนโชคร้ายเดินขึ้นเขา 3 ลูก ก็อาจจะไม่ได้เห็ด หรือได้มาแค่ไม่ถึง 2 ขีดเลยด้วยซ้ำ สำหรับผู้เขียนแล้ว ปกติการล่าเห็ดจะไปล่าที่ตลาดสด หรือตลาดแลงของชุมชน เพราะจะมีชาวบ้านเอามาวางขาย ซึ่งจะง่ายต่อการเก็บเกี่ยวและนำไปปรุงอาหารฮ่า ๆ แต่คราวนี้ได้ยินชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า เมื่อวานพากันขึ้นเขาเก็บเห็ดได้หลายกิโลเอาไปขายได้หลายบาท ด้วยความอยากจะทดลองวิถีไทบ้านก็เลยขอติดตามชาวบ้านไปไล่ล่าเห็ด ดูซิว่าจะยากลำบากสักแค่ไหนเชียว แม่ยายกองให้ลูกสาวโทรมาปลุกผู้เขียนราว ๆ 6 โมงเช้า บอกว่าให้ใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว สวมหมวก ทายากันยุงไปพร้อม ทีแรกก็ไม่ค่อยจะใส่ใจกับคำเตือนของยายกองเท่าไรนัก แต่ก็จำใจต้องปฏิบัติตามไม่งั้นยายไม่ให้ตามขึ้นเขา ยายกองแจกอาวุธให้เรา ก็คือไม้ก้านยาว ๆ น่าจะเป็นไม้ไผ่ ปลายไม้เป็นเหล็กตะขอ มีสามขอ เหมือนเล็บแมวงอ ๆ เราดันลืมถ่ายรูป เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับการหาเห็ด รวมถึงอุปกรณ์ยังชีพอื่น ๆ อีกเยอะแยะ รับอาวุธเสร็จ ยายกองก็นำทางเดินขึ้นเขา ขึ้นไปก็สาธิตการหา โดยการเอาสามง่ามงอ ๆ นั้น เขี่ย ๆ ใบไม้ที่ปกปิดผิวดินเอาไว้ เราก็เขี่ย ๆ เหมือนยายบอก คิดในใจว่า อืมม์ หาเห็ดแบบนี้ ต้นไม้เล็ก ๆ น่าจะโดนเหยียบและเขี่ยตายไปพอสมควร ได้แต่คิดนะคะพูดดังไม่ได้เดี๋ยวจะไม่ได้กลับลงเขา สักพักมีชาวบ้านอีกกลุ่มใหญ่ถามเราว่ามาทำหยัง ยายกองก็ตอบเป็นภาษาถิ่นว่า "อ๋อ เขามาเที่ยวเล่น แค่มาถ่ายรูปเล่นเฉย ๆ หรอก" ก็จริงแหล่ะ ไอ้ความหวังจะหาเห็ดได้นั้นเหมือนจะริบหรี่ ทั้งยุงป่าที่บินตอมหึ่ง ๆ เผลอเป็นกัด และน้ำหนักกล้องที่แบกบนคอ ไม่รวมถุงย่ามที่ใส่น้ำดื่มและขนมขบเคี้ยวไว้ยามหิว และเพราะมันหนักแหล่ะ เราก็เลยตอดน้ำไปตามทางเรื่อย ๆ เพื่อลดน้ำหนักในถุงย่ามของตัวเอง ชมไม้รายทางระหว่างหาเห็ด ระหว่างเดินขึ้นเขาตามยายกองไปเรื่อย ๆ เฮ่อ ไหนว่าแก่แล้ว ทำไมเดินขึ้นเขาเก่งจัง เดินประหนึ่งว่าเป็นทางราบ ส่วนชาวบ้านบ้านอื่นนั้นเมียง ๆ มอง ๆ และพยายามหลบหน้าอาจจะคิดว่าเราเป็นพวกมาสืบจับตายายหาเห็ดมั้ง บางคนใจกล้าหน่อยก็ยิ้มให้ แอบฟังชาวบ้านคุยกันจับใจความได้ว่า ท่านทั้งหลายเล่านั้นมาจากหมู่บ้านอื่น บางคนมาจากอำเภอข้างเคียงข้ามถิ่นมาหาถึงที่นี่ เรานึกในใจหากินไกลจริง ๆ แฮะ และแล้วเสียงสวรรค์ยายก็เรียกมา ๆ มาดูเห็ดเร็วเข้า เราเงยหน้าดูแล้วโหยายอยู่ไกลห้าสิบเมตร แต่ห้าสิบเมตรภูเขาทางชันนะเธอ จะวิ่งก็ไม่ไหว ค่อย ๆ เดินกระย่องกระแย่งไป เอากล้องจ่อเห็ด แล้วก็มีคนทักว่า นั่นมันเห็ดตายเบื่อ ไปถ่ายมันทำไม เอ๊า .... และระหว่างทาง 50 เมตร อีคุณแฟนก็เอายอดผักหวานป่ามาอวด แถ่นแท้นนนน เห็ดเผาะค้า เห็ดเผาะ เห็ดเผาะจริง ๆ คือมันต้องเขี่ยดินออก แล้วถึงจะเห็น ยายกองอธิบายว่าถ้าเราโชคดี แค่เปิดหน้าดินนิดหน่อย ก็จะเห็นเห็ดขาวโพลนไปทั่ว เก็บกันสนุก แต่ว่าวันนี้ไม่ใช่วันของเรา ได้เห็นเห็ดแค่ดงนี้แหล่ะ มีอยู่ 7 ดอก เก็บใส่ย่ามให้ยายแล้วก็นั่งกินขนมและน้ำจนหมด ก่อนที่จะบอกลายายกองว่าขอลงไปนอนรอตีนภูละเด้อยาย สรุปว่าวันนั้น จะว่าเหนื่อยฟรีก็ไม่ใช่เพราะเราก็ได้เรียนรู้วิถีชีวิตคนไทบ้าน กว่าจะหาของอยู่ของกินได้ก็ต้องใช้ความอดทนและหมั่นเพียรพอสมควร และหลังจากกลับลงมาจากเขา เปิดโทรศัพท์หาคลื่นได้พบว่า อีกฟากของหมู่บ้านหาเห็ดเผาะได้เป็นสิบกิโล ถือว่าวันนี้พลาดมาก ๆ ดีที่ผู้เขียนมีพร้อมเพย์เลยโอนไปจ่ายค่าเห็ดแล้วไปนอนรอรับอยู่ตีนภู ไม่ต้องเดินขึ้นเขาให้เหนื่อยอีก เอาไว้ปีหน้าค่อยส่งหน่วยกล้าตายเดินขึ้นเขาไปสำรวจเสียก่อนถ้าเจอเห็ดเยอะค่อยเดินขึ้นไปช่วยหา สำหรับปีนี้ซื้อกินหล่ะจะดีที่สุด ...เรื่องและภาพ โดยผู้เขียน