ละครเวทีสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมกับการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ละครเวที คือ ศิลปะในการแสดงออกที่ผสมผสานระหว่างเสียงร้อง การแสดงท่าทางประกอบ โดยมีองค์ประกอบในเรื่องของ เสียง เวที ฉาก ไฟ ดนตรี ทำให้ละครเวทีมีความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น สำหรับละครเวทีมีรากเหง้ามาจากวัฒนธรรมของยุคกรีกโบราณ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างนักแสดงกับผู้ชมโดยการสื่อสารผ่านการแสดงและการขับร้อง ซึ่งต่างจากภาพยนตร์เป็นอย่างมาก เพราะภาพยนตร์มีการเล่นกับมุมกล้อง เสียงดนตรีที่ดึงดูด เห็นความรู้สึกของตัวละครอย่างชัดเจน แต่สำหรับละครเวทีแล้วเมื่อทำการแสดงแล้วต้องทำให้เต็มที่ เพราะละครเวทีไม่การตัดต่อ ร้องจริง เล่นจริง ดนตรีจริงและที่สำคัญคือ การได้ยินเสียงหัวเราะ ร้องไห้ ของผู้ชมที่คอยมารับชม ซึ่งก็เป็นความประทับใจหนึ่งที่ต่างจากภาพยนตร์ สำหรับประเทศไทยก็มีการนำละครเวทีเข้าครั้งแรกในปี พ.ศ. 2475 โดยละครเพลงที่มีชื่อในยุคนั้นคือ “คณะจันทโรภาส” โดยมีเอกลักษณ์ในการขับร้องเพลงไทยเดิมให้กลายเป็นทำนองคล้ายเพลงสากล ซึ่งจะไม่มีลูกเอื้อนคล้ายเพลงไทยเดิม ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก ปัจจุบันในประเทศไทยเกิดคณะละครเวทีขึ้นมาหลายคณะ ซึ่งก็ล้วนแต่มีฝืมือในการแสดงเป็นอย่างมาก ทั้งมีการนำละครเวทีนำมาบรรจุในหลักสูตรการศึกษาให้นักศึกษาที่มีความสนใจเรื่องการแสดงและการแสดงออกในด้ายต่าง ๆ กว่าจะมาเป็นคนละคร ก่อนจะทำการแสดงต้องมีการฝึกซ้อม การฝึกความกล้าแสดงออก หรือการรู้จักใช้เสียงให้เป็นถูกต้องนั้นต้องใช้เวลาในการอยู่ร่วมกันเป็นระยะเวลานานพอสมควร เพราะความคุ้นเคยทำให้หลายคนที่ไม่กล้าแสดงออกเริ่มแสดงความเป็นตัวเองออกมามากขึ้น ทำให้เห็นลักษณะเด่นเฉพาะตัวและอาจนำมาใช้ในการแสดงละครเวทีได้ โดยเรียกกระบวนการนี้ว่า “การสร้างความสัมพันธ์” (Workshop) เป็นการใช้ชีวิตร่วมกันในกองละคร เล่นเกมฝึกสมาธิ ฝึกความแข็งแรงและความรักความสามัคคีภายในกองละคร ซึ่งนักแสดงจะมีความสนิทกับรวดเร็วมากยิ่งขึ้นผ่านกิจกรรมที่ทำร่วมกัน ใช้ชีวิตรวมกันเป็นหมู่คณะ การแสดงออกถึงความรักเวลาเลิกจากกองละคร สิ่งนี้จึงเรียกว่ากระบวนการสร้างความสัมพันธ์ การแสดง ชาวกองละครต้องมีการฝึกในเรื่องการแสดงออกทางอารมณ์ โกรธ เศร้า ร้องไห้ ผิดหวัง และเรียนรู้จากบทการแสดง เรียนรู้จนซึมซับให้รู้ว่าเวลาขึ้นแสดงผู้ชมไม่ต้องการมารับชมตัวเราแต่ผู้ชมมาชมอีกบทบาทหนึ่งของเราในการแสดง และชาวกองละครต้องศึกษาบทให้ครบทุกตัวละครเวลาที่มีใครคลายซ้อมหรือป่วยไม่สามารถทำการแสดงได้ต้องมีการแทนตัวนักแสดงเพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยนตัว ทุกคนแสดงด้วยความไม่กังวลจากสิ่งใด เพราะเมื่อไฟบนเวทีฉายแล้วนั้นหมายถึงนักแสดงทุกคนต้องพร้อมอยู่กับบทและมีสมาธิ ซึ่งก็สามารถนำมาจัดกระบวนการเรียนการสอนให้เข้ากับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ได้ ละครเวทีกับการจัดการเรียนรู้ สำหรับละครเวทีเป็นศาสตร์ที่ให้ประโยชน์หลายอย่างหากนำมาใช้จัดการเรียนรู้ ผู้เรียนได้ฝึกสมาธิ การอยู่ร่วมกัน ความกล้าแสดงออกซึ่งปัจจุบันเด็กไทยขาดคุณสมบัตินี้เป็นอย่างมาก ไม่กล้าพูด ไม่กล้าถาม หากมีการจัดการเรียนรู้ในลักษณะละครเวทีซึ่งจะทำให้เด็กมีการพัฒนาตัวเองขึ้นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เป็นกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบ “จิตศึกษา” คือให้เด็กอยู่กับตัวเองให้มาก รักตัวเอง อ่อนโยนต่อสรรพสิ่ง รักในการเรียนรู้ โดยครูมีหน้าที่ในการเป็นพี่เลี้ยง หรือโค้ช แนะแนวทิศทางเวลาเด็กไม่สามารถหาทางออกได้ ซึ่งเรียกกระบวนการนี้ว่า “การยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ” คือ การรับฟังแนวคิดของเด็ก ไม่ต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบดั่งเดิมคือ “การบรรยาย” แน่นอนว่านักเรียนได้เรียนรู้จากการบรรยายไม่เต็มประสิทธิภาพอยู่แล้ว การนำละครเวทีมาใช้ในการจัดการเรียนรู้อาจจะช่วยให้การแสดงออกทางพฤติกรรมของเด็กดีขึ้น ครูจะมองเห็นทัศนคติในอีกรูปแบบหนึ่งของเด็กและยอมรับความคิดเห็นของเด็ก ในศตวรรษที่ 21 เด็กไม่ต้องการเรียนรู้แบบเดิมต่อไปแล้ว ดังนั้นครูผู้ต้องปรับเปลี่ยนรู้แบบการจัดการเรียนรู้ และให้เหมาะสมต่อการพัฒนาของนักเรียน บางทีการสร้างแรงบันดาลใจจากสิ่งที่ครูทำอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กอีกหลายคน เพราะเมื่อเด็กรู้ว่ามีความถนัดอะไร ความต้องการที่แท้จริงคืออะไรมันก็ไม่ยากสำหรับการต่อยอดในอนาคตข้างหน้า ละครเวทีไม่เพียงแต่แสดงบนเวทีแล้วก็เสร็จแต่ทักษะ เทคนิคต่าง ๆ สามารถนำออกมาใช้ได้ เช่น การขับร้อง เต้น หรือ เล่นดนตรี สิ่งเหล่านี้ล้วนต่อยอดให้เด็กประสบความสำเร็จในอนาคตได้ " ภาพทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน : จิรวัฒน์ "