อื่นๆ

พิพิธภัณฑ์ขังผี

560
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
พิพิธภัณฑ์ขังผี

07.00 น. ดิฉัน และญาติ อีก 10 ชีวิต กำลังเริ่มออกเดินทางไปยังจังหวัดชัยภูมิ เพื่อพักผ่อนในช่วงเดือนกรกฎาคม โรงแรมเล็ก ๆ อันเงียบสงบแห่งหนึ่งในเขตป่านอกเมืองคือจุดหมายของเรา

โรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรม 3 ชั้น ไม่มีลิฟต์ การตกแต่งเป็นแบบไทย ๆ เรียบง่าย ถนนที่ลัดเลาะมาจนถึงโรงแรมเป็นถนนที่ค่อนข้างเปลี่ยว มีต้นไม้สูงขึ้นปกคลุมทั้งสองข้างทาง รอบด้านของโรงแรมเป็นป่าที่ดูรกร้าง แต่หลังโรงแรมกลับมีทางเดินมุ่งเข้าสู่ใจกลางดงไม้อันมืดมิด

ภาพโดย พี่กิม

ภาพโดย พี่กิม

ในคืนสุดท้ายของการพักผ่อนที่โรงแรมแห่งนี้ ‘พี่กอล์ฟ’ ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดทริปนี้ เชิญทุกคนเข้ามาร่วมดื่มเหล้าสังสรรค์กันในห้องนอนของพี่เขา ดิฉันกับพี่กิม พี่สาวแท้ ๆ ของดิฉันนั่งดื่มน้ำเปล่ากันอยู่เงียบ ๆ บนโซฟาตัวใหญ่สีแดง พวกเราอยากจะกลับห้องไปนอนใจขาด แต่ ‘เจ้แอม’ ภรรยาของพี่กอล์ฟขอให้เราอยู่รอ ‘น้าสม’ ที่กำลังเมาด้วย เพราะพวกเรา 3 คนนอนด้วยกันในห้องคอนเนค

Advertisement

Advertisement

ดิฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางกวาดตาไปดูทั่วห้อง

“1 2 3 4..” เสียงเล็ก ๆ ของพี่กิมกำลังนับอะไรบางอย่างอยู่ข้างหูฉัน

“พี่นับอะไร?” ดิฉันถาม

“ทำไมเกินวะ” พี่สาวดิฉันพึมพำ

“เมาน้ำเปล่าหรอ” ดิฉันส่ายหน้าติดตลก เมื่อคิดว่าพี่สาวกำลังเมาดิบ

“แก๊บ ลองนับหน่อยดิ ว่าในห้องนี้มีกี่คน” พี่สาวดิฉันมองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่ละสายตา

“10 คนไง เรามากัน 10 คน” ดิฉันพูดไปพลางเช็คโทรศัพท์ไปพลาง โดยไม่ได้ใส่ใจจะเงยหน้าขึ้นมานับจำนวนคนจริง ๆ พี่กิมเงียบไปสักพัก ดิฉันรู้สึกผิดปกติจึงยอมเงยหน้าขึ้นมาดู พี่กิมกำลังจ้องไปข้างหน้าอย่างไม่วางตา ปากซีด ๆ ปราศจากสีลิปสติกของพี่สาวกำลังอ้าออกเล็กน้อยด้วยความตกใจ

‘อะไรวะ’ ดิฉันคิด ก่อนจะหันไปกวาดตาดูเองเพื่อนับจำนวนคน ‘1 2 3 4 5 6 7 8 9 10…’

‘…11’

‘เห้ย’ ดิฉันสบถขึ้นมาในใจ ‘นับผิดป่าววะ ก็นับรวมตัวเองแล้วนี่หว่า...เอาใหม่...’

Advertisement

Advertisement

นับไปนับมาประมาณ 3 รอบ ดิฉันก็ขดตัวเข้าหาพี่สาวที่กำลังนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ข้าง ๆ

“พี่กิม...” ดิฉันกอดพี่สาวแน่น “กลับห้องกัน ปล่อยให้น้าสมนอนนี่แหละ กลับนะ” แต่ในสถานการณ์นั้น แม้ใจจะอยากกลับห้องเพียงใด ขาเจ้ากรรมทั้งสองข้างกลับไม่มีแรงแม้กระทั่งจะขยับออกจากท่าที่กำลังนั่ง ตอนนี้เราทั้งสองคนหลบตาจากภาพตรงหน้าและก้มมองเท้าของเราทั้งคู่ เราสองคนไม่ได้เมาและเราสองคนไม่ได้นับจำนวนคนผิดแน่นอน นั่นคือสิ่งที่เรากล้ายืนยัน จนในที่สุดเวลาล่วงเลยไปถึง 4 ทุ่ม ดิฉันกับพี่รวบรวมความกล้าเดินกลับห้องกันสองคน น้าสมออกมาส่งเราที่ประตูห้องด้วยสภาพที่เมากำลังได้ที่

“เดี๋ยวน้ากาบเอง ม่ายเกินเต 1” น้าสมบอก ก่อนจะรีบผลักเราออกนอกห้อง ดิฉันกับพี่กิมกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดเพื่อกลับห้องนอน ถึงเตียงปุ๊บ เราสองคนก็รีบสวดมนต์ แล้วมุดตัวเข้าใต้ผ้าห่ม ตั้งใจจะนอนจับมือกันจนถึงเช้า แต่เสียงนาฬิกาบนผนังห้องกลับดังไปเรื่อย ๆ อย่างเชื่องช้า...

Advertisement

Advertisement

แกร๊ก แกร๊ก... แอ๊ด... เสียงไขกุญแจประตูเปิดขึ้น แสงสว่างจากโถงทางเดินฉายทะลุผ้าห่มเข้ามาลาง ๆ

‘น้าสมมาแล้ว สบายใจแล้วนะ’ พี่กิมกระซิบให้ฉันได้ยินใต้ผ้าห่ม

ตึงงงงงง!!!!

“เชี้ย!” พี่กิมและดิฉันสะดุ้งขึ้นมาจากเตียง เมื่อประตูห้องถูกปิดเสียงดังจนเหมือนประตูจะหล่นลงมาทั้งบาน ดิฉันคิดว่าน้าสมคงเผลอปิดประตูเสียงดัง หรืออาจจะเมาจนล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว จึงรีบลุกขึ้นไปเปิดไฟห้องนอนทันที

พรึบ!!!

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!!!!” ไฟในห้องนอนสว่างขึ้นพร้อมเสียงร้องของพี่กิม พี่สาวของดิฉันมองไปยังพื้นห้องปลายเตียง ดิฉันยืนตาค้างกับภาพที่เห็นตรงหน้า ช็อกจนพูดอะไรไม่ออก น้ำตาคลอเบ้าด้วยความกลัวจนถึงขีดสุด

รอยเท้าสีแดงเข้มเกือบดำสนิทปรากฏอยู่บนพื้นไม้กว่าสิบรอย รอยเหล่านั้นดูสดและใหม่ เหมือนเพิ่งถูกประทับลงบนพื้นเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน สีและความเข้มข้นของมันชัดเจน จนไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันคือ รอยเลือด! เสียงหายใจของเราสองพี่น้องดังไปทั่วห้องอันเงียบสนิท หัวใจที่อกซ้ายเต้นถี่จะเหมือนจะหลุดออกมา บรรยากาศภายนอกไม่มีแม้กระทั่งเสียงจิ้งหรีด ทั้ง ๆ ที่ป่าอยู่รายล้อมโรงแรม เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นจนเปียกไปทั้งแผ่นหลัง พี่กิมกำลังร้องไห้อยู่บนเตียงด้วยความกลัว...

‘มาได้ยังไง มันมาจากไหน ประตูก็ล็อคแล้ว ถ้าเข้ามาแล้วคนหายไปไหน’ เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นที่ประตูห้องถูกเปิดขึ้น จนกระทั่งประตูปิด ดิฉันลุกขึ้นมาเปิดไฟทันทีหลังจากนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ในใจของดิฉันคิดว้าวุ่นไปถึงคนร้ายหรือโจร เพราะไม่อยากจะนึกให้เป็นอย่างอื่นที่เราไม่สามารถอธิบายได้

ตึง ตึง ตึง ตึง

'เฮือก!' สองพี่น้องหายใจไม่เป็นจังหวะ เมื่อจู่ ๆ เสียงวิ่งขึ้นบันไดก็เข้ามาใกล้ประตูห้องเราเรื่อย ๆ ดิฉันตกใจจนกระโดดขึ้นเตียงไปหาพี่กิม โดยไม่สนใจแล้วว่าจะเหยียบรอยเท้าสีเลือดบนพื้นที่อยู่ปลายเตียงหรือไม่

ตึง ตึง ตึง ตึง “เปิดประตูเดี๋ยวนี้เลย กิม! แก๊บ! เจ้เอง เจ้แอม เปิด ๆ ๆ เด็ก ๆ ตื่น!”

“เจ้แอม!!” พี่กิมตะโกนและวิ่งลงไปปลดล็อคกลอนประตูเพื่อให้เจ้แอมเข้ามา โดยที่ลืมไปแล้วว่า เราทั้งสองคนได้ยินเสียงปลดกลอนประตูไปแล้ว...

“เด็ก ๆ ! เกิดอะไรขึ้น? เป็นอะไรกัน? ทำไมกิมตัวสั่นแบบนี้ลูก แก๊บหนูเป็นอะไร?!” เจ้แอมตื่นตระหนกกว่าเดิมเมื่อเห็นเราสองคนร้องไห้เหงื่อตกอยู่ในห้อง เราสองคนรีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้แอมฟังและชี้ไปยังรอยเท้าบนพื้น

และก็เป็นช่วงเวลานี้เองที่เราสองคนอยากจะหยิบกุญแจแล้วขับรถออกไปจากโรงแรมนี้ให้เร็วที่สุด...

“รอยเท้าอะไร? ไหน?” เจ้แอมมองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าปลายเตียง

“ฮือ...เจ้แอม มันไม่อยู่แล้ว ฮือ...” พี่กิมร้องไห้ออกมาอย่างเปิดเผยเพราะคิดว่าเจ้แอมต้องไม่เชื่อแน่ ๆ แต่ผลลัพธ์กลับเป็นสิ่งที่ตรงข้าม

“วันนี้เป็นวันปล่อยของ...เจ้เพิ่งรู้จากพนักงานโรงแรม” เหงื่อที่หน้าผากเจ้แอมไหลลงมาถึงคาง ดิฉันรู้ทันทีว่าต้องเกิดอะไรขึ้นที่ห้องของพี่กอล์ฟแน่นอน ไม่อย่างนั้นเจ้แอมคงไม่วิ่งมาถึงชั้นสามเพื่อเช็คพวกเราว่ายังอยู่ดีหรือเปล่า

“แอม!! ทำอะไรอยู่ พาหลานลงไปเดี๋ยวนี้เลย!” เสียงพี่กอล์ฟตะโกนขึ้นมาก่อนตัวจะวิ่งขึ้นมาถึงชั้นสาม

พี่กอล์ฟขอบตาดำคล้ำและเหงื่อออกเยอะกว่าทุกคนในบริเวณนั้น กลิ่นเหล้าที่รุนแรงขัดกับความพยายามจะยืนตรงของพี่กอล์ฟ พี่ ๆ ทั้งสองเล่าถึงเรื่องราวประหลาดที่เกิดขึ้นในห้องดื่มเหล้าให้เราฟัง

น้าสมที่อยู่ในสภาพเมาหนัก พยายามจะเปิดหน้าต่างเพื่อร้องเรียกให้เพื่อนของน้าปีนหน้าต่างขึ้นมาร่วมดื่มฉลองด้วยกัน แต่หลังจากที่เพื่อน ๆ ของพี่กอล์ฟช่วยกันยื้ออยู่สักพัก น้าสมก็สงบลงก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง แล้วตะโกนว่า เพื่อนของน้าเข้ามาอยู่ในห้องแล้ว คำพูดชวนขนลุกนี้คือคำพูดสุดท้ายของน้าสม ก่อนที่ทุกคนจะคลาดสายตาจากเขา

“ตอนนี้คนอื่น ๆ ก็ช่วยกันตามหา เจ้ไปบอกพนักงานโรงแรม เขาโทรเรียกตำรวจแล้ว แต่เราต้องช่วยกันหาพี่สมก่อน ในป่ามันอันตราย ถ้าหลงเข้าไปนี่แย่แน่ ๆ” เจ้แอมเร่งเราทั้งสองให้เข้าห้องไปเปลี่ยนชุด ก่อนจะพากันวิ่งลงไปที่ชั้น 1 เพื่อออกตามหาน้าสม

พนักงานโรงแรมผู้ชาย 2 คน กำลังยืนรอครอบครัวของพวกเราอยู่ที่หน้าโรงแรมด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน

“จริง ๆ แล้ว เราไม่ควรออกมาเดินแบบนี้นะครับ ตามหาแค่ในโรงแรมก่อนดีกว่า” พนักงานกล่าวอย่างหวาดหวั่น

“ลมเพลมพัดนะครับพี่ ผมว่าอย่าเพิ่งเข้าป่าเลย แค่ออกจากโรงแรมก็ไม่ดีแล้ว” พี่ชุน เพื่อนของพี่กอล์ฟที่มาด้วยกันก็เห็นด้วย แต่บัดนี้เราเดินกันมาถึงทางเข้าป่าหลังโรงแรมแล้ว...

จู่ ๆ ลมวูบใหญ่ก็พัดออกมาจากความมืดตรงหน้า เศษดินและกลิ่นความชื้นลอยขึ้นบนอากาศ ดิฉันหรี่ตาลงและเอามือจับเส้นผมที่พันกันยุ่งเหยิง เงาสีดำเลือนลางเหมือนเงาคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนพื้นตรงหน้าก่อนจะหายเข้าไปในป่า เมื่อลมสงบ ความหนาวเย็นก็มาเยือนอย่างกะทันหัน ดิฉันหันหลังวิ่งกลับเข้าโรงแรมโดยไม่รีรอ เมื่อพี่ ๆ คนอื่นเห็นดังนั้นก็วิ่งตามมา สุดท้ายเราทุกคน รวมทั้งพนักงานโรงแรม ก็นอนรวมกันในเลาจ์บนชั้น 1 เพื่อรอแสงอาทิตย์ยามเช้า

8.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจและทีมกู้ภัย เดินทางมาถึงโรงแรม ก่อนจะกระจายกำลังออกตามหา ดิฉันและทุกคนกลับขึ้นไปเก็บของเพื่อเตรียมกลับบ้านหลังให้ปากคำกับตำรวจเสร็จ ดิฉันยกกระเป๋าของน้าสมที่ยังเก็บไม่เรียบร้อยขึ้นวางบนเตียง แต่น้ำหนักที่ค่อนข้างมากเกินกว่าจะเป็นน้ำหนักของเสื้อผ้าก็ทำให้ดิฉันหยุดชะงัก...

“เจ้แอม!!!!!!!!!” ดิฉันร้องเรียกเสียงหลง จนเจ้แอมที่ยืนรออยู่ใกล้บันไดรีบวิ่งเข้ามาดู

“เจ้…กะ กะ กระเป๋า...มันหนักเกินไป!” ดิฉันพูดเสียงสั่น แต่มือก็แข็งเกินกว่าจะปล่อยจากกระเป๋าได้ ดิฉันกลัว... จนสุดท้ายเจ้แอมก็แกะมือของดิฉันออกไป และเริ่มรื้อเสื้อผ้าของน้าสมออกมา วัตถุขึ้นสนิมสีน้ำตาลเข้มออกแดงพร้อมโซ่ยาวประมาณ 1 ฟุต ถูกซุกอยู่ในกระเป๋าของน้าสม สิ่งนั้นคือ...โซ่ตรวนโบราณ...

ดิฉัน พี่กิม และเจ้แอม วิ่งเอาหลักฐานลงไปส่งให้ตำรวจ ก่อนที่พี่กอล์ฟจะบอกให้เจ้แอมขับรถพาพวกดิฉันกลับกรุงเทพทันที

เรื่องราวผ่านไปอีก 1 วัน พี่กอล์ฟและคนอื่น ๆ จึงเดินทางกลับจากจังหวัดชัยภูมิมาถึงกรุงเทพ พร้อมน้าสม... ที่สติไม่สมประกอบแล้ว...

เจ้แอมเล่าว่า ตำรวจพบน้าสมที่บ้านไม้ร้างกลางป่า ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดเส้นทางที่เดินมาจากหลังโรงแรม สภาพบ้านทรุดโทรมและมีต้นไม้ขึ้นปกคลุม หน้าบ้านมีแผ่นไม้เก่า ๆ พร้อมอักษรจาง ๆ ว่า ‘พิพิธภัณฑ์ชุมชน’ หลังคาของบ้านมุงด้วยตับจาก แต่ก็แหว่งไปกว่าครึ่งจนไม่น่าจะกันฝนหรือกันแดดได้ พี่กอล์ฟเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์พร้อมตำรวจและทีม กลิ่นอับชื้นภายในสถานที่แห่งนี้ชวนให้อยากอาเจียน แต่ที่สำคัญคือ...ทุกคนสามารถสัมผัสได้เหมือนกันว่าสถานที่แห่งนี้ต้องเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้นแน่นอน ด้วยบรรยากาศที่ทั้งน่าขนลุกและอึดอัดเกินกว่าจะบรรยาย

ภาพโดย พี่กิม

ภาพโดย พี่กิม

บ้านไม้หลังนี้ค่อนข้างกว้างสำหรับการเป็นพิพิธภัณฑ์ แต่ละโซนถูกแบ่งด้วยผนังไม้ ไร้ประตู ตู้จัดแสดงและของที่อยู่ด้านในยังคงวางอยู่ที่เดิมเหมือนจู่ ๆ ผู้คนก็อพยพออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมองผ่านฝุ่นหนาที่จับอยู่บนกระจกแล้ว สิ่งของขึ้นสนิมทั้งหลายก็ยังดูน่ากลัวเกินกว่าจะจ้องมองได้เป็นเวลานาน ทั้งดาบที่หักครึ่งท่อน ขวานบิ่น ๆ เหล็กแท่ง ค้อน ตะปู เส้นผม ฟัน รวม ๆ แล้วคงมีมากกว่า 30 ตู้

แต่สิ่งที่น่าแปลกใจอีกอย่างคือ ทุกตู้ล้วนมีผ้าสีแดงลงอักขระสีดำแปะไว้บนกระจก ยกเว้นตู้ ๆ หนึ่ง ที่ดูเหมือนจะถูกตับจากหล่นลงมาใส่จนแตก ผ้าสีแดงที่ตำรวจคาดว่าเป็นยันต์ของตู้นี้หล่นอยู่ที่บริเวณใกล้เคียงในสภาพขาดวิ่น แต่ก็ดูจะขาดเละเทะเกินไปกว่าจะเป็นฝีมือของลมฟ้าลมฝน

ตำรวจพบน้าสมในสภาพอดนอนและร่างกายเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน น้าสมกำลังนั่งตัวสั่นอยู่ที่หลังตู้เหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ที่ข้อเท้าทั้งสองข้างมีรอยแผลเหวอะขนาดใหญ่จนข้อเท้าเกือบขาด ทุกคนในที่แห่งนั้นคาดเดาได้ว่ารอยแผลที่เกิดขึ้นนี้มีลักษณะเหมือนรอยโซ่ตรวน...

ภาพจาก Photo-AC

ภาพจาก Photo-AC

เมื่อตำรวจตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมส่งน้าสมเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแล้ว สุดท้ายตำรวจได้สรุปเรื่องราวว่าเกิดจากอาการเมาของน้าสมเอง แต่พี่กอล์ฟและเพื่อน ๆ ไม่ได้หยุดเท่านั้น พวกเขาเค้นจากเจ้าของโรงแรมจนได้ความมาว่า ที่ของโรงแรมไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ร้างนั้น ในอดีตราว ๆ 30 ปีที่แล้ว เคยเป็นชุมชนมาก่อน ชาวบ้านอาศัยเก็บของป่าและทำการเกษตรเพื่อเลี้ยงชีพเป็นปกติ แต่สิ่งที่น่าประหลาดเห็นจะเป็นงานอดิเรกของคนในหมู่บ้าน พวกเขาร่วมกันจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ชุมชนขึ้น เพื่อเก็บสะสมสิ่งของบางอย่างที่คาดว่าเป็นสิ่งอัปมงคล บ้างก็เล่าว่าคนในหมู่บ้านเป็นฆาตกรที่สะสมอุปกรณ์สังหารคน บ้างก็เล่าว่าหมู่บ้านนี้คือหมู่บ้านที่นิยมคุณไสย บ้างก็บอกว่าชาวบ้านค้นพบแหล่งของสะสมโบราณจึงนำเอาสิ่งของเหล่านี้มาเก็บไว้ แต่แล้ววันหนึ่งสิ่งของอัปมงคลที่อยู่ภายในตู้คงจะได้สำแดงฤทธิ์บางอย่างออกมา ชาวบ้านเริ่มหวาดกลัวกับพลังที่มองไม่เห็น จึงได้นิมนต์พระอาจารย์จากวัดป่ามาลงยันต์ไว้ ก่อนจะพากันหนีออกจากหมู่บ้านและไม่เคยหวนกลับมาอีก ราว ๆ 25 ปีต่อมา ส่วนราชการเข้ารื้อหมู่บ้าน แต่ด้วยเหตุบางอย่างก็ไม่สามารถทำการรื้อพิพิธภัณฑ์นี้ได้ จึงตัดสินใจทิ้งร้าง ฝ่ายเจ้าของโรงแรมเห็นว่าที่ดินผืนนี้ราคาถูกมาก จึงประมูลมาสร้างโรงแรม โดยเว้นเขตพิพิธภัณฑ์นั้นไว้

“พี่ชุนบอกว่า เห็นน้าสมเขาออกไปเดินเล่นแถวหลังโรงแรมเมื่อตอนบ่าย ๆ ไม่นึกว่าแกจะเดินไปถึงพิพิธภัณฑ์ร้างนั้น แถมยังไปเอาโซ่ตรวนที่หล่นออกมาจากตู้กลับเข้าห้องอีก น้าสมต้องกะเอาไปขายแน่ ๆ เลย” เจ้แอมเสริม

“งั้นรอยที่เราเห็น...” พี่กิมเอ่ยออกมา ก่อนจะแผ่วเสียงลงช่วงท้าย เพราะไม่มีใครอยากจะพูดถึงเหตุการณ์นั้นอีกแล้ว

“เห็นพี่กอล์ฟเล่าว่า...มันมีป้ายเขียนไว้ที่ตู้นะ...ถึงประวัติของโซ่...” เจ้แอมกล่าวเสียงเบา

“…”

“เขาว่ามันเป็นโซ่ที่ใช้ล่ามผู้หญิงที่ถูกอุ้มมาจากหมู่บ้านอื่นไว้ ผู้หญิงคนนี้ร้องขออิสระ และคนร้ายก็รับปากจะให้อิสระนั้น... แต่สิ่งที่คนร้ายทำไม่ใช่การตัดโซ่ตรวน แต่เป็นการตัดข้อเท้าของผู้หญิงคนนั้นแทน...จนสุดท้าย...เธอก็ขาดใจตายคาโซ่เส้นนั้น...”

อึก...

ดิฉันและพี่กิมกลืนน้ำลายลงคอ ไม่รู้เลยว่าเรื่องใดเป็นเรื่องจริงหรือเท็จบ้าง แต่ที่ดิฉันแน่ใจคือ นับตั้งแต่วันนั้น น้าสมก็กลายเป็นคนที่พูดติดอ่างและหวาดกลัวการอยู่คนเดียว ข้อเท้าของเขาเกือบขาดจากสาเหตุอะไรก็ไม่อาจทราบแน่ชัด จนกระทั่งวันนี้ น้าสมไม่ต่างจากผู้พิการที่ต้องใช้ไม้เท้าเดิน และทุกครั้งที่เขาต้องนั่งกับพื้น เขามักจะนั่งในท่ากึ่งนั่งกึ่งหมอบ เหมือนคนที่โดนโซ่ตรวนรัดขาจนท่านั่งดูไม่เป็นปกติ...

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์