ภาพโดย มนตรี คำสิงห์ (ผู้เขียน) 1… หลังฝนซา...จึงได้เวลาถอนตัวเก็บอุปกรณ์กลับบ้าน แม้บังไพรที่ใช้พอกันน้ำได้บ้าง...หากตกหนักและนานเช่นนี้ พลาสติกลายพรางบางๆที่อายุอานามเกือบสิบปีก็มิอาจต้านทาน เนื้อตัวที่เปียกปอนกับอุปกรณ์ที่อับชื้น...ทำให้เราต้องกลับบ้านก่อนเวลา พลันที่เปิดประตู...ฟ้าสีคราม แสงแดดส่องสะท้อนผิวน้ำปรากฏเป็นริ้วระยับไกลๆ เป็นภาพที่ต้อนรับเราทันทีที่ออกจากซุ้มบังไพร ผมเลือกกางเก้าอี้พับใกล้ๆบังไพรและนั่งลงชมความงามเหล่านั้นต่ออีกสักหน่อย... ความงามและมุมมองที่เห็นมันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา... มุมมองอันกว้างไกลแสดงถึงความกว้างใหญ่ของ “บึงละหาน” ที่ถือเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญของคนชัยภูมิ... ภาพโดย มนตรี คำสิงห์ (ผู้เขียน) 2… “บึงละหาน” มีขนาดพื้นที่ราว 18,000 ไร่...ถือเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศ ไม่เพียงมีพื้นที่กว้างขวาง...หากความอุดมสมบูรณ์ของบึงละหานก็เป็นทั้งแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดมากกว่าร้อยชนิด และเป็นแหล่งอาศัย หากิน ทำรังวางไข่ของนกอีกกว่า 140 ชนิด (ข้อมูลสำรวจเมื่อ พ.ศ.2560) ด้วยความสำคัญเช่นนี้ “บึงละหาน” จึงถูกรับเลือกให้เข้าไปอยู่ในทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติของไทยอีกด้วย... บึงละหาน...อยู่ห่างจากตัวเมืองชัยภูมิราว 20 กิโลเมตร ในระยะทางที่ใกล้...ส่งให้บึงละหานเป็นแหล่งอาหารประเภทปลาน้ำจืดชั้นดีให้กับคนชัยภูมิ นั่นจึงไม่แปลก...ที่เราจะเห็นคนหาปลาทั้งวางตาข่าย วางเบ็ด วางลอบ และอื่นๆอีกมากมาย ภาพโดย มนตรี คำสิงห์ (ผู้เขียน) 3… เรือหาปลาที่จอดเรียงรายอยู่ตามท่าต่างๆร่วมร้อยลำก็ถือเป็นภาพที่ชวนตื่นใจ... ทุกเช้ามืด...เรือแต่ละลำจะทยอยแล่นเข้าสู่พื้นที่ต่างๆของบึงกว้างเพื่อทำงานของแต่ละคน งานที่มีทั้งเก็บตาข่าย กู้ลอบ ตรวจเบ็ดที่ปักไว้...และอื่นๆอีกมากมาย งานของคนหาปลาที่แม้จะมีจำนวนมาก...หากประชากรในบึงละหานต่างมีข้อตกลงร่วมกัน “ห้ามจับปลาในฤดูวางไข่” และ “ห้ามล่านกทุกชนิดในบึง” คือข้อตกลงที่ทุกคนร่วมกันปฏิบัติอย่างเคร่งครัด... ดังนั้น...แม้วันนี้สภาพทางกายภาพจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย แต่ด้วยกฎระเบียบและการอยู่อย่างเข้าใจ “บึงละหาน” จึงยังคงความอุดมสมบูรณ์เอาไว้ได้ดีตามความเป็นจริง ภาพโดย มนตรี คำสิงห์ (ผู้เขียน) 4… เรือและชายหาปลา...ลอยลำอยู่ไกลๆ ผมตั้งใจบันทึกภาพเรือลำนั้นขณะลอยลำมาในตำแหน่งที่มีภูเขาเป็นฉากหลัง... สายฝนจากฟ้าไปนานแล้ว...แต่หมอกหนายังคงล้อเล่นกับทิวเขา นกบนฟ้า ปลาในบึงน้ำ อีกทั้งขุนเขา และคนบนเรือ...ล้วนพึ่งพิงกันและกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดย่อมส่งผลสะเทือนต่อสิ่งที่เหลือเสมอ... แดดสายสาดซัดริมตลิ่ง อากาศร้อนอ้าวจึงได้เวลาเก็บซุ้มบังไพรและเดินทางจากมา... ชายบนเรือยังลอยลำอยู่ที่เดิม นกปากห่างฝูงใหญ่บินผ่านไป นกอีแจวสองตัวร่อนถลาลงในบึงบัวใกล้ๆ... ภาพที่เห็นตลอดเวลาที่เข้ามาสัมผัส ชวนให้เราได้แต่หวังให้ความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตต่างสายพันธุ์ของพื้นที่แห่งนี้ยังเป็น อยู่ สอดคล้องกันและกันเช่นนี้ตลอดไป... . . .