ช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว ผมตัดสินใจมายังบึงกาฬ เพราะเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากเล่นน้ำสงกรานต์จะได้มั้ยปีนี้ ถือว่าบอลขอ.. แต่ไม่ว่ายังไงก็ได้เล่นอยู่ดีแหละนะ วันสงกรานต์คือวันรวมญาติ ใช่ ถูกดันให้ไปขึ้นรถกระบะซะอย่างนั้น ก็เปียกอยู่ดี... วันที่ 15 เมษายน คุยกับพ่อว่าอยากไป ภูทอก กับพิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต (ปิดสี่โมง)แต่สุดท้ายก็ไม่ทัน เพราะตอนเช้ามัวแต่ไปตื่นเต้น งานสงกรานต์ที่มีผู้คนลงไปเล่นน้ำโขงกัน ไม่เคยเจอ คัลท์มากๆ ถ่ายรูปวิดีโอ เก็บไว้ ขัตเตอร์แทบแตก แล้วตอนนี้ก็เที่ยงเสียแล้ว พ่อบอก ไม่ทันน่าาาาา ไปสองที่น่ะะะะะ ไม่ทันน่าาาาาา พูดตั้งแต่ผมเลือกที่จะเดินไปดูแต่แรกแล้ว แต่ความดื้อรั้น และอยากเสือก จึงรับกรรมไป .... หว่างทางไป ผมสงสัยมานานแสนนานมากว่า ผู้คนในเมืองที่หายไปแล้วเขาไปรวมตัวเล่นน้ำ กันหนแห่งใด แต่ระหว่างทางก็พบแต่เล่นกันหน้าบ้าน รถผ่านสาดใส่กัน ไม่แน่ใจว่า บู๊ทที่ตั้งอยู่หน้าทางลงไปเล่นน้ำโขงนั้น เขาได้สาดน้ำกันตรงนั้นหรือไม่ เพราะเห็นซุ้มที่ตั้งไว้ ยังเก็บไม่เสร็จดี ระหว่างทางไปก็เจอแต่คนข้างทางจัดถังน้ำมาสาดใส่กัน ปะแป้งกัน แต่กูรถเก๋ง สาดมา…ทำไม ก็ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย แล้วพับความสงสัยนั้น เอายัดเข้ากระเป๋าเสื้อไป ถึงแล้ววัดภูทอก มีป้ายข้างหน้าบอก สัมผัสแรกที่ได้รับตอนมาเยือนอยู่หน้าผา อืม….มันไม่สูงเท่าไรเลยนะ แต่อย่าพึ่งด่วนสรุป ถึงไม่สูงมาก แต่การปีนอาจจะยากมากก็เป็นได้ เดินมาถึงทางเข้า ข้างหน้ามีหลากหลายผู้คนมารดน้ำพระรูปอยู่ข้างหน้าทางเข้า พ่อ เซ ไอ แอม นอท โอ เค นะ บ่ไหวแล้วซิฮากเอา แค่เดินขึ้นมาถึงตรงนี้ก็เหนื่อยละ ไปโลดเดี๊ยวรอนี้ เจ้าหนุ่มตากล้องน้อย ครับพ่อ ไปก่อนไม่รอแล้วนะ ฟริ้วววว ทางขึ้นแรกเริ่มด้วยเบาะๆ เบสิค ง่ายๆ ก้าวขานิดหน่อยๆก็ถึงละ ชิวๆสบายๆ พอมาถึงชั้นที่ 5 ความชันเริ่มมา ประสบการณ์ปีนผา ก็ยังน้อย ลืมน้ำขึ้นไปอีกต่างหาก หายใจเริ่มไม่ทันบ้างเล็กน้อย จึงยืนพักเป็นเวลาครึ่งนาที แล้วไปต่อ บันไดขึ้นไปยังชั้นที่ 6 เป็นบันไดรอดช่องภา ที่มีความคัลท์ อเมซิ่งอยู่หน่อยๆ ชวนนึกสงสัยว่า ใครกันมาสร้างเอาไว้ แล้วทำอย่างไรกันนะ ถึงทำบันได วนรอบผาได้ ก่อนขึ้นก็เห็นพระเดินขึ้นไปอย่างชิวๆ ตรงนั้นมีพี่น้องชาวไทย ที่ยืนดูพระเดินขึ้นแบบ คลูๆ เป็นกลุ่มก้อนอยู่ แสดงอาการท้อใจ ว่ามันชันไป ฉันจะไหวไหม แต่ผมก็ขึ้นมาโดยไม่ได้รอดูแต่อย่างใด พอขึ้นมาได้ก็มาพบกับ กุฏิพระ หรือศาลา ไรเยี่ยงทำนองนั้น เจอพระอยู่สองรูปนั่งพบปะกับประชาชนที่เข้ามาฟังโอวาทอยู่ รวมทั้งสิ้น 1 คน ส่วนที่เหลือก็มานั่งตากลมให้เหงื่อมันแห้ง ยอมรับว่ามาถึงตรงนี้แล้ว หลังข้าพเจ้านั้นชุ่มฉ่ำน่าเอ็นดูทีเดียว เดินมาต่อพบกับลานกว้างของผา รวมทั้งพระรูปตั้งเรียงราย เดินขึ้นผิดบันได ไปโผล่พบทางตันที่มีพญานาคตั้งไว้อยู่ จึงต้องเสียแรงเดินย้อนกลับไป เพราะความซนไม่เดินตามผู้คนแต่ทีแรกนั้นแหละ ก็มันอยากรู้นิหน่าาาาา จริงๆตอนแรกกะจะไม่ขึ้นบันไดตัวที่ผิดแล้ว แต่มีลุงเดินมาบอก นี้แหละทางขึ้น แล้วก็พากูผิดไงลุง แล้วลุงที่แนะทางให้ก็จากหายไปพร้อมกับรอยยิ้มอย่างฉดใฉ ทางขึ้นชั้น 7 กันดารที่สุด ไร้ซึ่งบันได เพราะมันทำไม่ได้กระมัง มันคือป่าดีๆนี้เอง ที่การปีนขึ้นลำบากเล็กน้อย ลื่นนิดๆหน่อยๆ และทุกการลื่น ก็จะชวนนึกถึงอนาคตตัวเองฉับพลัน ตอนตกลงไปข้างล่าง แบบในหนัง final destination แต่ผมก็รอดมาได้ ขึ้นมาจนจุดสุดยอดของภูทอก ระหว่างทางก็ได้นักผจญภัยที่เป็นครอบครัว พร้อมป้าวัย 50 เดินขึ้นมาเป็นขบวนพร้อมๆกัน ถือว่าเป็นการสร้างมิตรภาพหว่างกันเล็กน้อย มีทางเลี้ยวสองทาง ครอบครัวที่ขึ้นมาพร้อมกัน ครอบครัวนึงไปซ้าย นึงไปขวา เหลือข้าพเจ้าที่ยืนอย่าง หว่องๆ แต่เพียงผู้เดียว เพลงสะพานของ Lullaby ขึ้นมา “ฉันควรจะทำอย่างไร” นึกคำโบราญได้ ขวาร้าย ซ้ายดี งั้นกูไปขวา จบ พบว่ามันคือทางลงดีๆนี่เอง ครอบครัวที่ไปซ้ายตามมาติดๆพร้อมบอกว่าไปซ้ายวิวสวยมาก แต่ไม่มีทางต่อนะ อยากถ่ายรูปก็ย้อนกลับไป อืม..... ลงมาขนาดนี้แล้ว คงไม่ปีนกลับขึ้นไปแล้วละครับ ก่อนจะลงมาถึงชั้น 6 มีคนเดินสวนขึ้นไปและส่งต่อน้ำขวดใหญ่ให้คนที่เดินลงมา พอกินเสร็จก็วางไว้ส่งต่อทอดๆให้คนต่อๆไป เป็นการสืบทอด วงโกเล่ แต่ข้าพเจ้าไม่อยากดื่ม เพราะรู้สึก ถ้าอดมาได้ถึงขั้นนี้แล้ว ก็อดต่อไปจนถึงตีนเขาแล้วดื่มทีเดียวเถอะ พอลงมาถึง ก็พบเส้นทางใหม่ ที่เชื่อมต่อกับทางกลับ เดินไปตามทาง เป็นทางเดินที่อยู่ริมผา ตื่นเต้นชิบหาย ชวนใหรู้สึกว่าเมื่อไรไม้ที่เดินอยู่จะแตกแล้วตกลงไปกันนะ คิดอย่างงี้ทุกๆย่างก้าวที่มีเสียงไม้ดัง “เอี๊ยด” แต่ผมก็รอดมาได้ แล้วลมแรงก็พัดมา ให้หายร้อนไปได้เยอะ เหงื่อที่รินใหลค่อยๆเหือดหายไปตามอากาศ ปีนขึ้นไปคือความลำบาก แต่ย่างก้าวที่ลงมากลับมีลมเย็นๆพัดพามา ดั่งว่า เทพแห่งภูผา ส่งมอบกำลังใจให้ และเป็นการตอบแทนที่มาพิชิตยอดเขาแห่งนี้ หว่างทางเดินลงมาเจอยายแก่วัยประมาณ 70-80 มีอีเจ๊เดินสวนมา พร้อมพูดตัดกำลังใจยายทันทีว่า ไปไม่ถึงหรอก ลงเหอะ เดี๊ยวสิเจ๋!!!! แต่ยายก็สู้เสือด้วยการตอบโต้ไปว่า “ใครแคร์” ง่อววว แคร์ด้วย ฝรั่งสัด ข้าพเจ้าเดินลงมาเจอลิงข้างทางแวะถ่ายนิดหน่อย ใจๆอยากเข้าไปใกล้ๆ แต่มันก็เดินหนีทุกครั้ง ลิงที่นี้ไม่ชินคน มาถึงทางเข้าเจอพ่อยืนรออยู่ ผมเดินเข้าไปหาดั่งว่าข้าพเจ้ากลับมาจากสงครามที่ยาวนาน บัดนี้ลูกได้กลับมาหาอ้อมอก พ่อแล้วนะครับ ซะที่ไหนวะ เดินลงมาด้วยอาหารหิวน้ำโครตๆ เพราะลืมเอาน้ำขึ้นไปด้วย มีน้ำที่ตั้งไว้ให้กิน แต่มันไม่เย็น มันไม่สดชื่นเป็นโฆษณา มิเนเร่ อึกๆหลายอึกเมื่อได้สัมผัสน้ำ แล้วจึงขึ้นรถแล้วพบว่า ไปพิพิธภัณฑ์ ไม่ทันแล้ว แห่วแดกกลับบ้านไป จบวันนี้ที่ 15 เมษายน ได้กลับ 17 ไม่ทันวันใหลที่เขาละเล่นกัน ที่ลาน ud จึงขอมุ่งมั่นด้วยเจตจำนงแห่งไฟ ว่ากลับไปข้าพเจ้า จะขอจัดวันใหลกับเพื่อนๆ เป็นของตัวเอง