ครั้งนี้เรามาเที่ยวกันที่จังหวัดบึงกาฬ ซึ่งเป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และในเป็นการเที่ยวแบบ One Day Trip ที่ฟ้าครึ้มตลอดทั้งวัน แต่ก็ไม่อาจจะหยุดยั้งความกระหายในการท่องเที่ยวของพวกเราได้!!! ภูสิงห์ ภูสิงห์ หรือที่รู้จักกันในสถานที่ที่เป็นที่ตั้งของหินสามวาฬนั้นเอง ซึ่งการท่องเที่ยวในภูสิงห์นั้นจะต้องใช้บริการรถนำเที่ยวของเจ้าหน้าที่ ในราคา 1,000 บาท (หากใครมาน้อยสามารถร่วมคณะกับคนอื่นได้) เพราะทางข้างบนภูสิงห์ต้องใช้ความชำนาญในการขับรถเป็นอย่างมากและคิดว่ารถเก๋งคงหมดสิทธิ์ ซึ่งเราเหมือนได้ไกด์ส่วนตัวด้วยเพราะพี่คนขับจะพาเราแวะชมจุดต่างๆบนภูสิงห์และบรรยายประวัติความเป็นมาให้พวกเราฟัง ถือว่าได้รับความรู้เลยครับ และตลอดช่วงเวลาที่เราอยู่บนภูสิงห์ (เกือบชั่วโมงครึ่ง) ก็มีเมฆฝนดำทะมึนตลอดเวลา ไม่มีวี่แววว่าแสงอาทิตย์จะโผล่ออกมาให้เห็นเลยครับ ก็ถือว่าเป็นอีกบรรยากาศแบบผจญภัยและน่ากลัวนิดๆ และที่เป็นแลนด์มาร์คของที่นี้ก็คงหนีไม่พ้นหินสามวาฬที่เรียกได้ว่าเป็น Unseen Thailand เลยครับ ซึ่งเป็นหินผาที่มีลักษณะคล้ายวาฬขนาดใหญ่ 3 ก้อน (วาฬพ่อ แม่ ลูก) เป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากครับ และหากจะถ่ายรูปให้ได้มุมที่สวย ต้องเดินข้ามไปอยู่บนวาฬอีกตัว แล้วถ่ายมาจากฝั่งตรงกันข้ามครับ เรียกได้ว่าเราเสียเวลาชื่นชมและถ่ายรูปอยู่ในจุดนี้นานที่สุดแล้ว (สมกับเป็น Unseen Thailand จริงๆ) ภูทอก หลังจากที่เราเที่ยวที่ภูสิงห์เสร็จเราก็เดินทางกันต่อและจุดหมายถัดมาก็คือภูทอก หรือวัดภูทอกนั้นเอง ซึ่งลักษณะของภูทอกนั้นจะเป็นภูเขาหินที่ตั้งตระหง่านแบบโซโล่เดี่ยวๆเลย และได้มีการสร้างบันไดและสะพานไม้ขึ้นบริเวณรอบๆเพื่อให้คนขึ้นไปชมทิวทัศน์ด้านบนได้ แอบได้ยินมาว่าใช้แรงงานคนเพียงอย่างเดียวในการสร้าง (ประมาณแบบว่าแบกไม้ขึ้นไปกันเองเลย) การเดินขึ้นก็ต้องใช้ความระมัดระวังด้วย เพราะบางส่วนก็มีน้ำไหลออกมาจากบนภู ทำให้พื้นค่อนข้างลื่น หรือมีหญ้าขึ้นบางๆปิดทางไว้ ก็ถือว่าได้บรรยากาศการผจญภัยนิดๆ และวิวทิวทัศน์ข้างบนก็ต้องบอกว่าสวยงามมาก ทำให้ชื่นใจหลังจากเดินขึ้นมาอย่างเหน็ดเหนื่อย น้ำตกถ้ำพระ หลังจากใช้เวลาในการเที่ยวสถานที่ที่เป็นภูเขามาแล้ว 2 สถานที่ ประกอบกับความเมื่อยล้าจากการเดินขึ้นภูทอก จุดหมายต่อไปซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้ายของพวกเราก็คือน้ำตกถ้ำพระ การเข้าไปถึงตัวน้ำตก เราจะต้องนั่งเรือเข้าไป ถือว่าใช้บริการของทางชาวบ้านครับ (เสียค่าบริการคนละ20บาท) ซึ่งพวกเราชอบมากๆ เหมือนกับล่องแม่น้ำแอมะซอนให้อารมณ์แบบผจญภัยเพื่อเข้าสู่ป่าลึกกันเลยทีเดียว ( ต้องเปิดเพลง Welcome To The Jungle ของ Guns N' Roses ประกอบด้วยไหม ฮ่าฮ่า) พอเข้ามาถึงตัวน้ำตกก็ต้องตกตะลึงในความยิ่งใหญ่ เพราะเป็นน้ำตกที่ไหลอยู่บนภูเขาหินทรายขนาดยักษ์ และมีจุดให้เลือกเล่นน้ำได้หลายจุด โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยแจ้งว่าจุดไหนเล่นได้บ้าง เพราะต้องดูจากปริมาณน้ำและความเชี่ยวกราก เพื่อความปลอดภัยก็ควรจะเชื่อฟังเจ้าหน้าที่เอาไว้ดีกว่านะจ๊ะ การเที่ยวบึงกาฬในครั้งนี้ของเรา เป็นการเที่ยวที่ใช้เวลาอย่างคุ้มค่ากับทั้ง 3 สถานที่ ไม่รีบร้อน ทำให้พวกเราสนุกอย่างเต็มที่ในทุกๆสถานที่ที่ไป และแต่ละที่มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แม้จะเป็นทริปสั้นๆและไม่ได้ไปไหนมากมาย แต่ก็ทำให้พวกเรามีความสุขกันมาก การเดินทางแต่ละครั้งมักจะมีความหมายของมันอยู่ หากเรารีบร้อนกันเกินไป ก็คงจะไม่สามารถเก็บเกี่ยวความหมายนั้นได้ ใครบางคนอาจจะคิดว่าการพักผ่อนควรเป็นการพักผ่อนทางร่างกาย เช่นการนอนพัก ไม่ใช่การเอาร่างกายไปเพิ่มความเหนื่อยอย่างเช่นการเดินขึ้นภู แต่การพักผ่อนจริงๆนั้นควรเป็นการพักผ่อนจิตใจและสมองร่วมด้วย คือ ไม่คิดถึงเรื่องราวต่างๆที่จะทำให้เรากังวลใจ พอเราออกมา เราเดินขึ้นภูเขา เราก็จะคิดถึงเรื่องการเดิน เราเล่นน้ำเราก็จะคิดถึงเรื่องการเล่นน้ำ ทำให้ใจเรามีแต่เรื่องสบายๆ และเป็นการเพิ่มพลังใจไปด้วย นี้แหละน่าจะเป็นการพักผ่อนที่ดีไม่แพ้การนอนเฉยๆ ขอให้ทุกคนสนุกกับการเดินทางไปพักผ่อนนะครับ "ภาพถ่ายจากผู้เขียน"