เป็นความรู้สึกที่อธิบายได้ยากจริง ๆ เมื่อได้มายืนอยู่บนชั้น 7 หมุดหมายปลายสุดของ “ยอดภูทอก” หรือ “ภูเขาสิเนรุ” แห่งศรีวิไล เมืองบึงกาฬ ในมุมมองแบบ 360 องศา ภาพที่ประจักษ์ต่อสายตา ไม่ว่าจะเป็นบึงน้ำใหญ่ ป่าภูเขา ทุ่งนาสิ่งก่อสร้าง และพระเจดีย์พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ ยอดสีทองอร่ามด้านล่าง งดงามเหนือคำบรรยาย พร้อมกับความสงสัยในหัวใจลึก ๆ ตามจินตนาการของตนเองว่า พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ ท่านเดินและปีนป่ายขึ้นมาจนถึงบนนี้ ท่านได้รู้สึกยังไง ผมตั้งต้นเดินทางจากสนามบินจังหวัดสกลนคร ผ่านอำเภอพังโคน เลี้ยวขวาไปทางอำเภอพรเจริญ โดยยึดตามเส้นทางที่จีพีเอสแนะนำ ใช้เวลาเดินทางราว 1.45 ชั่วโมง รวมระยะทาง 151 กิโลเมตร ก็มาถึงภูทอกหรือภูทอกน้อย เมื่อมาถึงบริเวณวัด สิ่งที่ปรากฏชัดเจนต่อหน้าก็คือ ภูทอก นั่นเอง ด้วยความเป็นภูเขาหินทรายสีแดงแปลกตาโดดเด่น ด้านข้างมีสะพานเดินเลียบหน้าผา ดูไกล ๆ เหมือนเชือกมัดก้อนหิน ด้านบนปกคลุมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ประปราย มั่นใจได้ในทันที่ว่า บนยอดภูนั่นแหละคือเป้าหมายของวันนี้ การมาที่นี่ แม้จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวก็ตาม แต่ก็เป็นวัดซึ่งเป็นสถานปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ด้วย จึงต้องแต่งตัวมิดชิดและสำรวมกายวาจาใจให้มากเป็นพิเศษ ควรต้องปฏิบัติตนตามระเบียบที่บอกไว้ตรงทางขึ้นภูด้วย เพราะการให้เกียรติสถานที่คือวิธีปฏิบัติหลักของนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพเขาปฏิบัติกัน และควรพกน้ำดื่มขึ้นไปด้วยเผื่อหิวจะได้จิบดับกระหายได้ ผมตั้งจิตขออนุญาตใส่รองเท้าเดินขึ้นเขา ด้วยจิตเคารพว่า การเดินไปบนก้อนหิน ดินและแผ่นไม้บนภูเขาหินแห่งนี้คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้มีบุญ เพื่อให้เดินกระชับและคล่องตัวตัวในการปีนป่าย ทางเดินช่วงนี้เป็นสะพานไม้ ไต่ไปตามความสูงของภูเขา มีราวให้จับและมีจุดนั่งพักเป็นระยะ ๆ พอมาถึงชั้นที่ 3 จะเลี้ยวซ้ายขึ้นบันไดไม้ลัดไปชั้นที่ 5 ซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระภิกษุสงฆ์ มีกุฏิตั้งอยู่รอบ ๆ ภูเขาและสะพานที่ข้ามไปยังวิหารพระพุทธสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งสร้างบนแท่นหินใหญ่อีกแท่งหนึ่งที่แยกออกจากตัวภูทอก และถือว่าเป็นจุดชมทิวทัศน์ซึ่งมีความงดงามมากที่สุดบนภูทอกน้อย หรือจะเลี้ยวขวาเดินขึ้นบันไดหินธรรมชาติไปชั้นที่ 4 ซึ่งเป็นโซนปฏิบัติธรรมของแม่ชี มีทางเดินไม้กระดานโดยรอบภูเขา ต่อด้วยปีนบันไดขึ้นไปชั้น 5 เพื่อเดินดูถ้ำซึ่งมีหลายแห่ง เช่น ถ้ำแก้ว ถ้ำเหล็กไหลก็ได้เช่นกัน หรือหากยังไม่รีบขึ้นไปชั้นต่อไป จะไปเดินชมทิวทัศน์บนสะพานไม้เวียนรอบเขาที่ชั้นนี้ก่อนสักรอบซึ่งมีระยะทางราว 400 เมตรก่อนก็ได้ เมื่อขึ้นมาถึงชั้นที่ 6 ผมชักจะลังเลนิดหน่อย เพราะทางข้างหน้าคือสะพานไม้ขนาดคนเดินสวนกันได้ ด้านหนึ่งยึดติดอยู่กับหน้าผา อีกด้านหนึ่งมีราวไม้กั้น ถัดจากนั้นคือ อากาศโล่ง ๆ และหุบเหวไล่ลงไปตั้งแต่ชั้น 5 ลงไปจนถึงเชิงภู ผมยืนพิจารณาชั่งใจอยู่นานว่า จะไปต่อหรือหยุดอยู่แค่นี้ เพราะไม่รู้ว่า สะพานจะรองรับน้ำหนักได้ไหม มีแผ่นไม้อันไหนชำรุดหรือเปล่า ถ้าร่วงลงไปจะเป็นยังไง และอื่น ๆ จิปาถะในหัว ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เอาไงเอากัน ไหน ๆ ก็มาแล้ว จะมีเหตุให้เกิดอะไรก็ถือว่ามีบุพกรรมทำมาอย่างนั้นก็แล้วกัน” ผมค่อย ๆ ก้าวไปทีละก้าวอย่างช้า ๆ เหยียบแผ่นไม้ทีละแผ่นอย่างระมัดระวัง พลางมองดูแท่งหินและเสาไม้ที่ปักติดหน้าผาไปเรื่อย ๆ มองลอดผ่านแผ่นไม้ดูเหวข้างล่างบ้าง มองออกไปดูทิวทัศน์ด้านข้างบ้าง พอไปได้สักระยะหนึ่ง ใจเริ่มนิ่งมากขึ้น ก็เลยเดินด้วยท่าทางปกติ ไม่เกร็งและกดดันตัวเองเหมือนตอนเดินช่วงแรก ๆ ทำให้รู้สึกดีขึ้น ปลอดโปร่งและเบาใจ อีกอย่างหนึ่งมีอยู่ 2 ช่วงทางเดิน ที่มีรูปปั้นพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ ในอิริยาบถนั่งและยืนภาวนาให้ได้กราบไหว้ เสมือนว่าท่านมาคอยปกปักรักษาให้กำลังใจให้เดินจนรอบภูทอกนั่นเอง และก็เป็นอย่างที่รับรู้มาจริง ๆ ว่า ชั้นนี้เป็นชั้นที่มองเห็นทิวทัศน์สวยงามที่สุด ทั้งพระเจดีย์ยอดสีทองด้านล่าง วิหารพระพุทธที่ชั้น 5 และแนวเทือกเขาภูทอกใหญ่ ผ่านชั้นที่ 6 มาได้ เหลืออีกเพียง 1 ชั้นก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายนั่นคือ การขึ้นไปยังชั้นที่ 7 ซึ่งจะต้องไต่บันไดขึ้นไป จากนั้นเดินไปทางด้านขวามือ เดินไปเรื่อย ๆ จนถึงลานดาดฟ้าเนกขัมมสุข ซึ่งน้อยคนนักที่จะมาถึง ส่วนใหญ่จะหยุดอยู่แค่ต้นทางสะพานไม้ทางเดินริมผาชั้นที่ 6 หรือบางครั้งแม้ผ่านชั้นที่ 6 มาแล้ว ก็ถูกห้ามไม่ให้ขึ้นมาบนชั้นที่ 7 หากมีพระมาปฏิบัติธรรมเข้มข้นที่ลานด้านบนนี้ การได้มายืน ณ จุดสูงสุดที่ชั้น 7 นี้จึงไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นเพราะความตั้งใจแน่วแน่ล้วน ๆ แม้จะมีลังเลบ้าง แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดของการมาที่นี่ ไม่ใช่การได้พิชิตยอดภูทอกแต่อย่างใด เพราะลำพังแค่นั้น คนที่มีกำลังขาดี ร่างกายสุขภาพแข็งแรงก็ทำได้ แต่การเดินผ่านสะพานชั้นที่ 6 ซึ่งเป็นเหมือนสะพานวัดใจว่า เราจะสามารถปล่อยวาง หากเกิดอะไรขึ้น เช่น หากสะพานหักร่วงตกลงไป เรากล้าเสียสละชีวิตไว้ที่นี่หรือไม่ นี่ต่างหาคือสิ่งที่สำคัญแท้จริง ดั่งความเข้าใจแจ่มแจ้งของผมเมื่อได้เดินไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง ที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ไม่ใช่หน้าผาสูงชัน ไม่ใช่สะพานไม้ที่อาจจะพังได้ทุกเมื่อ แต่คือความกลัวภายในใจตนนี่เอง ดังนั้น เมื่อก้าวข้ามความกลัวได้ ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกแล้ว แม้ว่านี่จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวความรู้สึกของผมที่อาจเชื่อมถึงความรู้สึกบางส่วนของพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐได้บ้างก็ตาม สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกท่านที่มาภูทอกและได้มีโอกาสเดินบนสะพานไม้เลาะริมหน้าผาชั้นที่ 6 นี้ จงแคล้วคลาดปลอดภัยไปถึงอีกฝั่งโดยสวัสดิภาพนะครับ ข้อควรทราบ 1.วัดภูทอกหรือวัดเจติยาศรีวิหาร ตั้งอยู่ที่ บ้านคำแคน ต.นาสะแบง อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ 2.ก่อตั้งโดย พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เมื่อ พ.ศ. 2512 3.วัดตั้งอยู่บนภูทอกน้อย ติดกับภูเขาหินทรายขนาดใหญ่อีก 2 ลูก คือ ภูทอกใหญ่กับภูสิงห์น้อย 4.บันไดและสะพานไม้ พระอาจารย์จวนและชาวบ้านใช้แรงงานคนล้วน ๆ ใช้เวลากว่า 5 ปีจึงเสร็จ 5.ภูทอกแบ่งเป็น 7 ชั้น โดยชั้น 3-6 สามารถเดินรอบภูทอกได้ 6.คำว่า “ภูทอก” ในภาษาอีสานแปลว่า “ภูเขาที่โดดเดี่ยว” 7.“สะพานนรก-สวรรค์” คือสะพานไม้เวียนรอบจากเชิงเขาขึ้นสู่ยอดภูทอกน้อย 8.ผู้จะเข้าเยี่ยมชม-กราบไหว้ ควรปฏิบัติตามกฎระเบียบของวัดอย่างเคร่งครัด เช่น ห้ามดื่มสุรา ห้ามส่งเสียงดัง ห้ามขีดเขียน 9. แต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยเพื่อเคารพสถานที่ 10.เข้า-ออกวัดตั้งระหว่างเวลา 08.00-17.00 น. ทุกวัน ยกเว้นวันที่ 10-16 เมษายนของทุกปี วัดปิดไม่ให้ขึ้นภูทอก 11. พิกัดที่ตั้ง https://goo.gl/maps/gxtfuzt7NnH2 ภาพประกอบโดยผู้เขียน : อนุญาตให้ใช้เพื่อการศึกษาได้ฟรี