สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ - ชื่นชมวิจิตรสถาน อารมณ์เหงา เศร้า อกหัก ทุกข์ร้อน ไม่สบายใจ พื้นฐานของคนเราแล้วมักจะนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ก่อนเสมอ เสมือนเป็นที่พึงพาจิตใจรวมถึงเหนี่ยวนำจิตใจไม่ให้ลงไปสู่บึ้งลึกแห่งห้วงทะเลความทุกข์เหล่านั้นได้ ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า วิถีชีวิตกับความเชื่อแยกออกจากกันได้ยาก ซึ่งในสังคมไทยนั้นเชื่อมโยงทั้ง พุทธ-พราหมณ์-ผี เข้าด้วยกัน และคงปฏิเสธไม่ได้อีกว่าสิ่งเหล่านี้คงอยู่มาตั้งแต่อดีคกาลจนถึงปัจจุบัน และระยะเวลาที่ผ่านผัน หล่อหลอมและกล่อมเกลาความต่างวัฒนธรรมให้หลอมรวมเข้ากันอย่างลงตัว สั่งสมจนเป็นเอกลักษณ์ของสังคม...ที่นี่ คือ ศาลหลักเมืองบุรีรัมย์ -ป้ายศาลหลักเมืองบุรีรัมย์- ศาลหลักเมือง เป็นสถานที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยได้รับอิทธิพลความเชื่อมาจากศาสนาพราหมณ์ และลัทธิเต๋า ว่าในการสร้างบ้านแปงเมืองนั้นต้องมีพิธียกเสาหลักเมือง ตรงที่เป็นชัยภูมิสำคัญ หรือใจกลางเมือง เพื่อเป็นขวัญและสิริมงคลซึ่งเป็นสิ่งที่คนโบราณถือกันมาก เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นหลักแหล่งเอาไว้ เมื่อได้เดินเข้าไปสัมผัสสถานที่แห่งนี้แล้ว บอกได้ว่ารู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก หนึ่งเพราะคงจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สองคงเป็นบรรยากาศที่ร่มรื่น แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เข้าไป แต่ก็ทำให้ลืมความเครียดบางอย่างไปได้ สมกับเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจจริง ๆ พอถึงด้านในตัวศาลหลักเมือง มีพระเสาหลักเมืองตั้งอยู่ มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยมา แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่ากลัวเลย กลับทำให้สบายใจมากกว่าเสียอีก เมื่อเดินชมรอบ ๆ จึงสงสัยว่า เอ๋...ทำไมเสาหลักเมืองที่นี่มี 2 ต้นนะ จึงได้คำตอบมาแบ่งปันกันด้วย เสาหลักเมืองบุรีรัมย์มีลักษณะเด่นคือ มีเสา 2 ต้น แปลกกว่าเสาหลักเมืองของจังหวัดอื่น ๆ ที่มีเพียงต้นเดียว จากภาพที่เห็นเสาต้นที่หนึ่งเอียง และมียอดแหลมน่าจะเป็นเสาต้นแรกที่มีมาตั้งแต่การตั้งเมืองแป๊ะในปี พ.ศ.2320 นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นให้ความเห็นเกี่ยวกับสาเหตุที่เอียงไว้หลายสาเหตุ ได้แก่ 1. เกิดจากดินทรุดตามธรรมชาติ 2. การตั้งใจให้เอียงซึ่งมีเจตนาให้เอียงไปทางกรุงธนบุรีอันเป็นราชธานี 3. ในการเกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ น่าจะมีการสั่งให้ถอนเสาหลักเมืองเช่นเดียวกับเมืองโคราช ส่วนเสาต้นที่สองที่ตั้งตรงมียอดตัด น่าจะตั้งขึ้นเมืองบุรีรัมย์ยกฐานะเป็นจังหวัดนั่นเอง เมื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว มาชมวิจิตรสถานกันบ้าง ทำให้รู้สึกเหมือนต้องมนตร์อีสานใต้ ถ้าภาพบันทึกได้เหมือนที่ตาเห็นคงจะดีมาก ทางเราก็ไม่พลาดที่จะสอบถามข้อมูลไว้เป็นความรู้เล็ก ๆ รูปทรงสถาปัตยกรรมที่แปลกตานี้ ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะขอม ซึ่งปี พ.ศ.2548 ได้ริเริ่มก่อสร้างขึ้นมา แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2552 ออกแบบโดยสถาปนิกจากกรมศิลปากร ให้มีความสอดคล้องกับคำขวัญจังหวัด-เมืองปราสาทหิน บ่งบอกอัตลักษณ์ของบุรีรัมย์ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้แต่ละทิศยังมีรูปปั้นเทพเจ้าแต่ละทิศเพื่อคุ้มครองป้องกันภัยต่าง ๆ อีกด้วย จากที่ได้กล่าวไปข้างต้น ที่ว่าหลากหลายวัฒนธรรมนั้น ไม่แปลกจากที่นี่เลย เพราะว่าทางด้านข้างกันนั้นมีศาลเจ้าจีนตั้งอยู่ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้นอกจากจะได้ความสบายใจแล้วยังได้ซึมซับวัฒนธรรมที่มีความต่างอย่างลงตัว นับได้ว่าขอพรกันได้ไม่อั้นเลยที่เดียวเจียว ภายในศาลเจ้านอกจากจะมีไหว้เทพพระเจ้า ไหว้ฟ้าดินแล้ว ยังมีเสี่ยงทายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเซียมซี เซ้งปวย หรือเสี่ยงทายตัวเลข -ภายในศาลเจ้า- ทางเชื่อมระหว่างศาลหลักเมืองกับศาลเจ้า บรรยากาศร่มรื่น เต็มไปด้วยพืชนานาพรรณ มาที่เดียวถือว่าได้อิ่มบุญ อิ่มใจ อิ่มปอด ด้วยนะ ความต่างวัฒนธรรมที่ลงตัว เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงกลุ่มความหลากหลายชาติพันธุ์ของชาวบุรีรัมย์ที่มีความเอื้อเฟื้อ มิตรไมตรีจิตต่อกันเสมอมา ทำให้เมืองบุรีรัมย์นี้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดอีกด้วย แหม ๆ ๆ มาที่นี่ทั้งทีก็ไม่พลาดเก็บบรรยากาศโดยรอบมาฝากกัน เพราะสิ่งที่เห็นมันคือความลงตัว ใครจะรู้ว่า ไทย จีน เขมร จะมาอยู่ด้วยกันสถานที่แห่งนี้ได้ เก็บไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย ว่าครั้งหนึ่ง เคยมาที่นี่....ศาลหลักเมืองบุรีรัมย์ - ภาพวาดเทพประจำประตูของศิลปะไทย และศิลปะจีน - - บรรยากาศโดยรอบ - ศาลหลักเมืองบุรีรัมย์ ตั้งอยู่ที่ เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ต.ในเมือง อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ 31000 เวลาทำการ 06:00 น. - 18:00 น. เข้าชมและสักการะฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย และสามารถถ่ายภาพได้ตามสะดวกเลย - บรรยากาศรอบนอก - ปล. แอบแนะนำสักหน่อยถ้ามาตอนแดดอัสดงทุกท่านก็จะได้รับชมดังภาพสวย ๆ ที่ถ่ายแล้วเอามาประกอบบทความ แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น งดงามเพียงใดต้องมาสัมผัสกัน