มีคำกล่าวไว้ว่า "อยากเฮฮา ให้ไปเขาใหญ่ อยากพักใจ ให้มาปางสีดา" นั่นเป็นคำกล่าวที่ไม่ได้ไกลเกินจริงเลยครับ เพราะปางสีดาเป็นอุทยานแห่งชาติที่สงบเงียบ และยังคงความเป็นธรรมชาติแท้ๆ เพราะอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ ยังไม่ได้เป็นที่นิยมมากมายนักสำหรับนักท่องเที่ยวก่อนอื่นต้องสวัสดีเพื่อนนักอ่านทุกๆท่าน เชื่อว่าหลายๆคน คงถึงรูปแบบการท่องเที่ยวในแบบผจญภัย แอดเวนเจอร์ และคิดคิดถึงป่าเขาลำเนาไพร ภายหลังจากที่เกิดเหตุการณ์การระบาดของไวรัส Covid19 ซึ่งหลังจากนั้นก็เกิดมาตรการการป้องกันการระบาดของโรคของทางภาครัฐ โดยการสั่งปิดอุทยานแห่งชาติ ทั้ง 155 แห่ง เพื่อป้องกันและควบคุมโรคระบาดดังกล่าวให้อยู่ในวงจำกัด ลดการเดินทาง และออกไปท่องเที่ยวของประชาชน ทำให้หลายๆคน โดยเฉพาะผู้เขียน ที่เป็นนักผจญภัยและรักการเข้าป่าเขาลำเนาไพร ทำได้แต่เฝ้ารอ วันเปิดทำการของอุทยานแห่งชาติตามปกติแต่หลังจาก วันที่ 1 กรกฏาคม 2563 รัฐบาลก็เริ่มค่อยๆ ผ่อนผันให้เปิดเข้าท่องเที่ยว ในเขตอุทยานแห่งชาติได้ 127 แห่ง ผู้เขียนจึงไม่รอช้า รีบวางแผนและเตรียมเช็คสภาพรถ เพื่อเดินทางไปยังจุดหมายที่ปักหมุดไว้ นั่นคือ "อุทยานแห่งชาติปางสีดา" แต่ช้าก่อน... การเข้าชมอุทยานแห่งชาตินั้น มีมาตรการควบคุมสถานการณ์ Covid19 อย่างเคร่งครัด จะทำให้การท่องเที่ยวเปลี่ยนรูปแบบไปในรูปแบบ New normal ซึ่งผู้เขียนได้รีวิวมาให้ผู้อ่านทุกท่าน ได้รับชม รับทราบ เพื่อเตรียมพร้อม เตรียมตัวสำหรับการท่องเที่ยวผจญภัยในเขตอุทยานฯ เรามาชมวิธีการท่องเที่ยวอุทยานในรูปแบบ New normal ไปพร้อมๆกันครับลำดับแรก คุณจะต้องทำการจองคิว ก่อนท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ เนื่องจากอุทยานแห่งชาติ จำเป็นต้องจำกัดจำนวนของผู้เข้าชมอุทยาน เป็นจำนวนจำกัด ตามแต่ละที่อุทยานแต่ละแห่งกำหนด ดังนั้น คุณจำเป็นต้องลงทะเบียนและจองการเข้าอุทยาน ก่อนที่จะเข้าชมท่องเที่ยวในอุทยาน ซึ่งการจองนั้น จะทำให้คุณสามารถเข้าชมในเขตอุทยานได้ก่อน หากมีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก โดยรายละเอียดการจอง มีวิธีการดังนี้1. โหลด แอปพลิเคชั่น QueQ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ ในPlayStore (สำหรับ Android) และ AppStore (สำหรับ IOS)ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น QueQ คลิก.2. เลือกการจองอุทยานแห่งชาติ ตามรายการที่กำหนดในระบบ3. กรอกรายละเอียดการเดินทาง ซึ่งจะต้องกำหนดวันที่เดินทาง ช่วงเวลาในการเช็คอิน จำนวนผู้เดินทาง ชื่อ และเบอร์โทรศัพท์สำหรับติดต่อเมื่อกรอกรายละเอียดครบแล้ว ก็เหลือแค่ รอวันเวลา และเตรียมพร้อมก่อนเดินทางเพื่อผจญภัยกันได้แล้ว เช้าวันที่ 1 กรกฏาคม 2563เวลา 05.30 น.เสียงกระหึ่มเดินเบาของรถมอเตอร์ไซค์ 135ซีซี ดังขึ้นบนท้องถนนที่บัดนี้ เจิ่งนองไปด้วยน้ำ จากฝนที่พรั่งพรูลงมาตั้งแต่เช้ามืด มันทำให้ผมค่อนข้างกังวลว่า ทริปนี้จะล่มหรืออาจจะไม่เจอผีเสื้อเลยก็เป็นได้ เพราะผีเสื้อที่ปางสีดานั้น จะออกมาก็ต่อเมื่อสภาพอากาศในวันๆนั้น มีแสงแดดและอากาศที่อบอุ่น เหมาะสมต่อการออกมาหากินอาหารของมัน ทว่า ผู้เขียนกับผู้ร่วมทริป ก็ตัดสินใจลองเสี่ยงดู ทั้งๆที่โอกาสที่ทริปนี้จะเสียเที่ยว มีมากโขเลยทีเดียวผู้เขียนออกเดินทางจากนครราชสีมา ไปบนถนนสาย 304 มุ่งหน้าขาเข้า รถรายังไม่ได้มากมายนัก และการเดินทางก็ราบรื่นดี ราวๆสองชั่วโมงหลังจากนั้น เราก็เข้าใกล้เขตจังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติปางสีดา มองไปบนฟ้าบัดนี้ เมฆบางส่วนสลายหายไป และฟ้าเริ่มเปิด แสงสว่างสาดส่องลงมายังพื้นถนนเบื้องล่าง อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น เราทั้งคู่ใจชื้น คิดในใจว่าโชคเข้าช้างเราแล้ว ทริปนี้ ยังไงก็ต้องได้พบเห็น ฝูงผีเสื้อแน่นอน เราจอดรถพักชมวิวริมทาง ที่บัดนี้ เป็นเทือกเขา สลับกันไปมา รายล้อมไปด้วยเขตป่ายูคาลิปตัส และยางพารา ของเกษตรกรในจังหวัดสระแก้ว08.30 เราถึงหน้าทางเข้าอุทยานแห่งชาติปางสีดา ตรงตามเวลาที่วางแผนและจองคิวเช็คอินเอาไว้พอดิบพอดีจากนั้น จึงเริ่มเข้าสู่ กระบวนการคัดกรองของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ซึ่งในจุดนี้ เจ้าหน้าที่อุทยานฯ จะทำการวัดอุณหภูมิของเรา มีมาตรการเว้นระยะห่าง Social Distancing ที่สำคัญและห้ามลืมเด็ดขาดคือ แมสก์ หรือหน้ากากอนามัย เราจะต้องทำการ ลงชื่อ หรือสแกน คิวอาร์โค้ด เพื่อเข้าสู่อุทยาน ตามคิวที่เราได้จองไว้ ซึ่งอุทยานแห่งชาติปางสีดา จะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ทั้งหมด 400 คน และมีการนับจำนวนนักท่องเที่ยวตามจริง ดังนั้น การจองล่วงหน้าก่อน ย่อมได้เปรียบ แต่ถ้าไม่ได้ทำการจองมาก่อน ก็สามารถลงทะเบียน เข้าไปในอุทยานได้เช่นกัน แต่เจ้าหน้าที่จะให้สิทธิ์กับผู้ที่ทำการจองผ่านแอปพลิเคชั่นก่อนเท่านั้นเองค่าบริการในการเข้าชมอุทยานแห่งชาติ คนละ40 บาท สมาชิกทั้งหมดสองคน และส่วนผู้เขียนนำรถมอเตอร์ไซค์เข้ามา ก็มีค่าบริการจอดรถอีก 20 บาท เป็น 100 บาท พอดิบพอดีเมื่อเราผ่านจุดคัดกรองเข้ามาแล้ว ก็ถึงคราวที่เราจะเข้าไปชม เจ้าฝูงผีเสื้อตัวน้อยๆ ที่โบยบินอยู่ในอุทยานฯ โดยจุดชมผีเสื้อนั้นจะแบ่งออกเป็นสองจุดใหญ่ ๆ นั่นคือ จุดชมผีเสื้อ ซึ่งเป็นโป่งเทียม ที่เจ้าหน้าที่จะนำเกลือมาโรยไว้บริเวณหน้าดิน เพื่อให้ผีเสื้อได้บินมาเกาะและเล็มกินแร่ธาตุ โดยจุดนี้จะต้องขับรถเข้าไปจากจุดคัดกรองอุทยานอีกราวๆห้าร้อยเมตร ผ่านน้ำตกปางสีดา และวิ่งลงในถนนลูกรัง ก็จะถึงจุดชมผีเสื้อดังกล่าวจุดชมผีเสื้อจุดนี้ จะเป็นจุดชมผีเสื้อที่สามารถชมได้ง่ายที่สุด ภายในจุดนี้ ก็จะจำกัดผู้เข้าชมไม่เกิน 20 ท่าน และต้องเว้นระยะห่าง Social Distancing เช่นเดียวกัน ในจุดนี้เอง ที่เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาแนะนำข้อมูล และให้สมุดบันทึกเรื่องราวผีเสื้อ เป็นที่ระลึกสำหรับผู้ที่เข้าชมอุทยานแห่งชาติที่เปิดเป็นวันแรก นับตั้งแต่การปิดตามคำสั่งของรัฐ โดยเราสามารถถ่ายรูปในโป่งเทียมนี้ได้ แต่จะต้องระมัดระวัง ไม่เข้าไปรบกวนผีเสื้อให้มากนักด้วยนะครับแต่หากมีเวลา อยากผจญภัยให้น่าตื่นเต้น และศึกษาธรรมชาติให้มากกว่านั้น อุทยานแห่งชาติปางสีดา ก็ยังมีจุดชมผีเสื้ออีกจุด ที่จะต้องนั่งรถของเจ้าหน้าที่ และเดินเท้าเข้าป่าไปเป็นอีกระยะหนึ่ง นั่นคือจุดชมผีเสื้อ ลานหินดาด ซึ่งเส้นทางค่อนข้างอันตราย เนื่องจากบริเวณนี้ มีจระเข้น้ำจืดธรรมชาติอาศัยอยู่ด้วย ซึ่งการจะเข้าไปยังจุดนี้ จะมีค่าใช้จ่ายสำหรับการนำทางของเจ้าหน้าที่ และสามารถเข้าไปต่อรอบได้เพียง 15 ท่านเท่านั้น สอบถามรายละเอียดได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานฯ โทร.081-862-1511, 092-275-3969 หรือ ททท.สำนักงานนครนายก (ดูแลพื้นที่นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว) โทร.0-3731-2282, 0-3731-2284เมื่อชมผีเสื้อจนอิ่มอกอิ่มใจ ก็ได้เวลาเดินทางผจญภัยต่อไป เราขับรถลึกเข้าไป โดยจุดหมายสุดท้ายที่ตั้งใจของทริปนี้ คือ บริเวณจุดชมวิว กม.25 ที่จะต้องขับรถเข้าไปในป่าลึก ในเส้นทางที่เป็นถนนดินลูกรัง และไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นระยะทางขาไป 25 กิโลเมตร และขากลับอีก 25 กิโลเมตร เส้นทางดังกล่าว จะทำให้เราสัมผัสธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิดมากๆ โดยเฉพาะสองข้างทาง ที่ล้วนเป็นป่าดิบชื้นอุดมสมบูรณ์ บางครั้งเราสามารถเห็นสัตว์ป่าอย่างกวาง เก้ง ฝูงลิง และที่ตื่นเต้นที่สุด คือ เราสามารถเห็นรอยสัตว์ใหญ่อย่างช้างป่า ที่มาถ่ายไว้เรี่ยราดระหว่างเส้นทางของเราให้เห็นเป็นระยะ ๆ หรือจะเป็นรอยเท้าของสัตว์กีบขนาดใหญ่ ที่น่าจะเป็นกระทิง หรือวัวแดง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เขตอุทยานแห่งชาติปางสีดานั้น มีความอุดมสมบูรณ์อย่างมาก ในระหว่างทางเราจะได้พบกับโป่งผีเสื้อธรรมชาติ ที่มีให้เห็นได้ตามสองข้างทาง ตลอดเส้นทาง 25 กิโลเมตรนี้เลยล่ะครับ สำหรับเรื่องความปลอดภัยจากสัตว์ป่า ถ้าหากกลัวว่าจะบังเอิญเจอสัตว์ป่าแล้วเข้ามาทำร้ายเราหรือไม่ เราก็ได้รับคำยืนยันจากเจ้าหน้าที่ว่า สัตว์ป่าในเขตอุทยานนี้ จะหากินในเวลากลางคืนเท่านั้น และค่อนข้างตื่นคนอยู่พอสมควร ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่า จะเกิดอันตรายได้ หากไม่ไปรบกวนหรือทำอะไรแผลงๆ ที่สำคัญคือ เมื่อขึ้นไปด้านบนจุดชมวิวแล้ว จะต้องรีบกลับลงมาให้ทันในเวลาบ่ายสี่โมงเย็น เพราะหลังจากนั้นจะเป็นเวลาหาอาหารของสัตว์ป่า ซึ่งหากกลับลงมาไม่ทัน ก็อาจมีอันตรายได้เช่นกันหลังจากบู๊ตะลุยกับเส้นทางระหว่างไปยังจุดชมวิวราวๆเกือบสองชั่วโมง ก็มาถึงยังจุดชมวิวห้วยสโมง กม.25 เนื่องจากเส้นทางที่วิบากและโหดใช่เล่นเลยทีเดียว ใครที่ชอบความท้าทาย อยากจะขึ้นไปยังจุดชมวิว กม.25 อาจจะต้องวิเคราะห์สภาพยานพาหนะของตัวเองสักนิดนะครับ เนื่องจากเส้นทางนั้น ค่อนข้างหฤโหดพอสมควร เหมาะกับรถขับเคลื่อนสี่ล้อ รถกระบะ รถมอเตอร์ไซค์เท่านั้น รถเก๋งหมดสิทธิ์ขึ้น เพราะบางช่วง มีร่องน้ำลึกที่ไหลผ่านถนน และบางช่วงเป็นหล่มเป็นโคลน ขาขึ้น รถสามารถวิ่งได้ทำความเร็วไม่เกิน 25 กม. ต่อชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากสภาพถนน และความสูงชันเรามาถึงจุดชมวิว กม.25 เป็นจุดหมายปลายทางของทริปนี้ ภาพที่เห็นคือหุบเขาเวิ้งว้าง ที่ล้อมรอบด้วยภูเขาเขียวชอุ่ม ดูเย็นตาเย็นใจ เหมาะสำหรับผู้รักการผจญภัย และต้องการผ่อนคลายสายตาและความเครียดที่เหนื่อยล้า อากาศเย็นๆ มีลมพัดเอื่อยอยู่ตลอดเวลา เท่านี้ ก็เป็นอะไรที่วิเศษที่สุดแล้วในระหว่างที่นั่งทอดหุ่ย มองความกว้างไกล เวิ้งว้างของจุดชมวิว พลันก็แอบคิดอะไรเพลินๆ... แม้ระยะการท่องเที่ยว จะถูกเว้นระยะให้ห่างกันมากกว่าเดิม เช่นกัน เราเองก็ต้องเว้นระยะห่างจากธรรมชาติ ด้วยการไม่ไปรุกล้ำ ทำลายธรรมชาติด้วยเช่นกัน เมื่อเช้าผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านข่าว ว่ามีคนขับรถชนลูกลิงที่เขาใหญ่ตาย หลังจากเปิดทำการอุทยานได้เพียงวันเดียว แล้วก็รู้สึกสะท้อนใจ ว่ามนุษย์บางคน ก็ยังย่ามใจ และไม่มีความเกรงใจ เคารพในผืนป่า และคิดว่าตนคือผู้เหนือทุกสิ่ง มันจะดีกว่ามั้ย ถ้าเรารู้จักเว้นระยะห่าง ให้ธรรมชาติได้เดินไปในวิถีของมัน ด้วยการไม่ไปรบกวนธรรมชาติจนเกินงาม ป่า ไม่ใช่สนามแข่งรถ ไม่ใช่สถานบันเทิงเริงใจ และพึงระลึกเสมอว่า มนุษย์ก็เป็นเพียงแค่ "ผู้มาเยือน" เท่านั้นเองขากลับลงมา เราแวะชมน้ำตกปางสีดากันเล็กน้อย แต่เนื่องจากเพิ่งเข้าสู่ฤดูฝน และเพิ่งผ่านหน้าแล้งมาได้ไม่นาน ทำให้ปริมาณน้ำตกปางสีดา ยังค่อนข้างน้อย มีเพียงแอ่งน้ำเท่านั้น จึงทำให้เราอดเล่นน้ำตกปางสีดาอย่างน่าเสียดาย แต่ผู้เขียนที่เคยมาเยือนน้ำตกปางสีดาแห่งนี้มาก่อนแล้ว ก็ขอลากันไปด้วยภาพสวยๆของน้ำตกปางสีดา ในช่วงที่มีน้ำหลากที่จะมีในช่วงเดือนสิงหาคม ถึงปลายเดือนกันยายน....วันนี้ ต้องลากันไปก่อนแล้ว แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า สวัสดีครับ***พิเศษ !! สำหรับผู้ที่ตอบคอมเมนต์ ว่าหลังจากการเปิดอุทยานแห่งชาติแล้ว คุณอยากไปเที่ยว ที่ไหนบ้าง อย่างไร และแชร์บทความนี้ รับไปเลย Code Wemall มูลค่า 200 บาท ไว้ไปชอปปิ้งออนไลน์ ผ่าน Wemall.com สำหรับ ผู้โชคดี ที่สุ่มจับรางวัลเพียง 3 ท่านเท่านั้น!!***เงื่อนไข- ระยะเวลาในการเข้าร่วมสนุกกิจกรรม คอมเม้นท์ ได้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. - 31 ก.ค. 63 เวลา 12.00 น.- สำหรับผู้ที่เข้ามาร่วมกิจกรรม เมื่อเข้ามา comment ใต้บทความแล้วให้ระบุ ชื่อและอีเมล ของคุณที่ต้องการให้ทีมงานส่ง Code Wemall ไปให้ในคอมเมนต์นั้นๆ (ในกรณีที่คุณเป็นผู้ได้รับรางวัล Wemall code ทางทีมงาน TrueID In-Trend จะทำการส่ง Code Wemall ของคุณไปยังอีเมลที่ระบุไว้)- จะทำการประกาศชื่อบุคคลที่ได้รับของรางวัล 3 ชื่อในคอมเมนท์ใต้บทความ ในวันที่ 31 ก.ค. 63 เวลา 18.00 น.- Code Wemall จะถูกทำการส่งไปยังอีเมลของผู้ชนะ 3 ท่านภายใน 7 วันทำการ ภายหลังจากที่ประกาศผู้ที่ได้รับรางวัลลงใน comment ใต้บทความ- ในส่วนของการคัดเลือกผู้ชนะเป็นสิทธิ์ของเจ้าของบทความในการคัดเลือกเท่านั้น ทางทีมงาน TrueID In-Trend ไม่มีส่วนในการคัดเลือกผู้ที่ได้รับของรางวัล Code Wemall แต่อย่างใดเรื่อง : จิรวัสส์ สุทธิพิทยศักดิ์ภาพ : จิรวัสส์ สุทธิพิทยศักดิ์ติดตามอ่านคอนเทนต์ดี ๆ ได้ที่ Facebook : Thailand Local