เรือท้องแบนขนาดบรรจุ 12 คนเคลื่อนช้าบนพื้นน้ำที่เต็มไปด้วยบัวหลวง ภารกิจหลักในครั้งนี้คือการสำรวจบึงสำนักใหญ่หรือหนองจำรุง ต.ซากพง อ.แกลง จ.ระยอง พื้นที่ที่ได้รับการบำรุงเอาใจใส่ เพื่อเป็นแหล่งพื้นที่ชุ่มน้ำประเภทป่าพรุ ที่ถูกเรียกว่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งพักพิงของคนและสัตว์ ทั้งหากินและหาใช้การอนุรักษ์พื้นที่แห่งนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2545 จากการประชาชนในพื้นที่ไม่เห็นด้วยในการใช้พื้นที่แห่งนี้ สร้างเป็นมหาวิทยาลัย และมีความตั้งใจที่ยอมรับการตั้งศูนย์รวมพรรณไม้ภาคตะวันออก ตามแนวทางขององค์การสวนพฤษศาสตร์แทน จากวันแรกที่พื้นที่มีเบื้องต้น 1193 ไร่ ปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของสวนพฤกษศาสตร์ระยอง จากที่มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 3800 ไร่ และยังมีพรรณไม้เก่าแก่ที่เรียกว่า เสม็ดขาว ขึ้นอยู่ด้วยเรือนำเที่ยวพาลัดเลาะเข้าไปชมในจุด ที่เรียกว่าเป็นดงเสม็ดขาว ไม้โบราณประจำถิ่น ที่มีความสำคัญ ในการชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของป่าพรุแห่งนี้ ที่สำคัญ การรักษาป่าพรุ คือ หนึ่งในองค์ประกอบในการแก้ไขปัญหาสภาวะโลกร้อน และปัญหาระบบวิเวศเชิงพื้นที่อีกด้วย เพราะด้วยคุณสมบัติเฉพาะของป่าพรุ ที่นอกเหนือการหน้าที่หลักในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งของน้ำทะเลแล้ว ป่าพรุเหล่านี้ ยังมีหน้าที่ดักตะกอนและแร่ธาตุ รวมทั้งพรรณไม้ในป่าป่าพรุนี้ สามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ได้มากถึง 5800 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เปอร์เฮกเตอร์ ซึ่งเมื่อเทียบกับป่าเขตร้อนทั่วไปถือว่ากักเก็บได้มากกว่าหลายเท่าตัวตลอดการเข้าชมพื้นที่นอกจากพืชพันธุ์ที่มีความสำคัญจำนวนมาก ยังได้พบกับ แพหญ้าหนังหมา พืชน่าสนใจที่ลอยอยู่เหนือน้ำ หนาจนสามารถขึ้นไปเดินได้ และเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดความสมบูรณ์ ซึ่งป่าพรุแห่งนี้ถือว่า สอบผ่านได้อย่างดีเยี่ยมวัชนะ บุญชัย หัวหน้าสวนพฤกษศาสตร์ระยอง ได้อธิบายว่า พื้นที่ชุ่มน้ำมีความสำคัญอย่างมาก และมีประโยชน์ ด้วยแนวคิดให้ประชาชนในพื้นที่ได้ประโยชน์จากป่าพรุ และสร้างให้เป็นแหล่งเรียนรู้พื้นที่ชุ่มน้ำ รวมทั้งพรรณไม้ท้องถิ่นภาคตะวันออก‘เรามีระบบนิเวศป่าเสม็ดขาว ที่เหลือเพียงแห่งเดียวในภาคตะวันออก ซึ่งเรมีหน้าที่ในการอนุรักษ์และจัดการสวนแห่งนี้ตามแผนนโยบายของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.) ในความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้น เพราะมันมีพรุ มีแพหญ้า สามารถกักเก็บคาร์บอนฯได้ ซึ่งมีความหนาของชั้นพื้นผิวร่วม เมตรครึ่งของตัวแพหญ้าหนังหมา’ เมื่อแรกมาสำรวจหลังจากรับมาทำงานสร้างศูนย์วิจัย วัชนะพบสภาพพื้นที่เป็นบึงแต่ไม่ใช่บึงเพราะมองไม่เห็นพื้นใต้บึง จึงรู้ทันทีว่าสถานที่ที่ตกสำรวจของพื้นที่ชุ่มน้ำ แม้จะตรวจสอบทางภาพถ่ายทางอากาศก็ไม่เห็นน้ำ เพราะมองเห็นแต่หญ้า และเกือบจะเสียพื้นที่ไป เพราะนักการเมืองไม่รู้ว่าพื้นที่นี้มีค่ามหาศาล และต้องการผลักดันเป็นมหาวิทยาลัยประจำจังหวัด เมื่อรู้ความเป็นจริงว่า ใต้หญ้าที่เป็นแพหญ้าหนังหมา เป็นบึงน้ำกว่า 3800 ไร่ บวกกับประชาพิจารณ์ของประชาชนในพื้นที่ ไม่ได้ต้องการมหาวิทยาลัย แต่ต้องการให้เกิดสวนสวนพฤษศาสตร์แทน จึงเป็นที่มาของการถือกำเนิดของพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้ การใช้ประโยชน์ร่วมกับชุมชนเพื่อการหวงแหนพื้นที่ในทางอ้อม จึงมีการย้อนกลับไปในอดีต สู่นิราศเมืองแกลง ของกวีเอกสุนทรภู่ ที่พูดถึงการสานเสื่อเมื่อ 200 ปีก่อน ด้วย กกกระจูด ซึ่งมีมากในพื้นที่บึงสำนักใหญ่ และเป็นสินค้าที่ต้องส่งเข้ากรุงเทพฯแทนการเสียภาษีด้วยเงิน ในยุคปัจจุบัน การสานกกกระจูด สามารถสร้างรายได้ ที่เข้าขั้นตั้งตัวและมั่นคง รวมทั้งยั่งยืนต่อชุมชนที่นี่ได้อย่างน่าชื่นชม ทั้งในรูปแบบเสื่อแบบดังเดิม เครื่องสานในรูปแบบต่างๆ เช่น กระเป๋า แจกัน เป็นต้น *** บทความและรูปภาพ เคยได้รับการเผยแพร่ในเว็บไซต์ไทยโค๊ด https://www.thaiquote.org/content/223311 โดยผู้เขียน วรกร เข็มทองวงศ์ ***