(ภาพโดยนักเขียน) ด้วยความอยู่ห้องร้อน ๆ เบื่อ ๆ จะออกไปข้างนอก อยู่กรุงเทพ ฯ ก็กลัวทั้งฝุ่น ทั้งโค-วิด เลยคิดทริปใกล้ ๆ เพื่อหนีความวุ่นวายและหวาดกลัวในเมืองกรุง ไปเที่ยวสงบ ๆ บ้าง คิดอยู่นานจะไปไหนดี สุดท้ายมาตกลงกันได้ที่ เกาะแสมสาร หื้ม จากการที่ฟังหลาย ๆ คนพูด ที่เกาะจะจำกัดคนเข้าต่อวันด้วย มีคนข้ามเกาะไม่ทันบ้างล่ะ ต้องไปต่อคิวตั้งแต่ตีห้าบ้างล่ะ ไป 2 คนเลยตกลงกันว่าถ้าข้ามเกาะไม่ทันก็นั่งรถไปสัตหีบเข้าที่พักกันเลยนะ อย่าโทษกันล่ะ เมื่อตกลงกันได้แล้วก็เริ่มจองที่พัก และหาข้อมูลต่าง ๆ และวันที่เราวางแผนเที่ยวก็มาถึง เริ่มออกจากห้องตั้งแต่ 06.00น. เพื่อให้ทันรถไฟฟ้าเปิดให้ใช้บริการ แล้วนั่งไปลงที่ BTS เอกมัย ลงมาทางออกที่ 2 ทางออกนี้จะหันหน้าไปทางแยกด้านข้าง Gateway เอกมัย แต่เราจะไม่ไปทางนั้นค่ะ เดินย้อนกลับมาด้านหลังทางที่เราลงประมาณ 50 เมตร ก็ถึงแล้ว สถานีขนส่งผู้โดยสารสถานีตะวันออก กรุงเทพ ฯ (เอกมัย) เดินตรงไปที่ช่อง 6 จ่ายค่าตั๋วคนละ 155 บาท รถออกตามเวลา เวลาออกรถที่เราได้กันคือ 07.30 น. เรากะเวลากลับมาที่รถได้ นั่งรถมาสักพัก เริ่มมีคนลงระหว่างทาง คนขับจะบอกให้แจ้งก่อนว่าลงที่ไหน เราลงกันที่ กม. 6 รถจะจอดให้เราลงที่ศาลารอรถตรงเซเว่น กว่าจะถึงตรงนี้เราใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมง 15 นาที ตรงที่เราลงมีวินอยู่ข้าง ๆ ถ้าใครรีบก็สามารถนั่งวินไปได้ ป้ายราคาเขียนติดไว้ว่าเขาหมาจอ 60 บาท เราก็รีบนะคะ แต่กลัวร้อนมากกว่า เพราะแดดแรงมาก เลยรอสองแถวคันสีฟ้า รอไม่นานค่ะ มารู้ทีหลังว่ารถจะมาทุกครึ่งชั่วโมง ถ้ารถขับออกมานิดเดียวแล้วยูเทิร์นไม่ต้องตกใจนะ ต้องยูเทิร์นขับกลับมานิดหน่อยแล้วรถจะเลี้ยวเข้าทางอนุสาวรีย์แล้วพาเราไปเขาหมาจอค่ะ ถ้าเราบอกคนขับรถว่าไปเขาหมาจอ คนขับรถจะถามว่าเราข้ามไปเกาะไหน เพราะตรงเขาหมาจอมีให้ข้ามสองเกาะค่ะ คือ เกาะแสมสารที่มีกิจกรรมทางน้ำต่าง ๆ ของทหารเรือ และ เกาะขาม ที่ดารานักแสดงต่าง ๆ ชอบมาถ่ายรูปเช็คอินสวย ๆ ของเราไปแสมสาร รถก็ขับมาส่งถึงตรงที่ซื้อตั๋วเลย มาถึงก็ตรงดิ่งมาตรงพิพิธภัณฑ์ ก็ชำระค่าตั๋วคนละ 300 บาท ตั๋วมี 3 ส่วนคือ สำหรับลงเรือ เข้าชมพิพิธภัณฑ์ และหางตั๋วส่วนที่ยาว ๆ ใช้สำหรับจอดรถ (ภาพโดยนักเขียน) เอาล่ะ เริ่มด้วยการทำธุระส่วนตัว ต่าง ๆ ให้เรียบร้อย แล้วเดินไปท่าเรือ เจ้าหน้าที่ทหารบริการอย่างดี มีการตรวจไข้ทุกคน หากมีไข้ต้องของขอให้งดข้ามฝั่งทันที นอกจากนี้ยังมีเจลล้างมือให้ก่อนขึ้นเรือ (ภาพโดยนักเขียน) ขึ้นเรือมาแล้วพี่ทหารก็เตรียมตัวขายของกันเล้ย มีทั้งเจลล้างมือ ข้าวเหนียวหมู ขนม ไอติม และน้ำผลไม้เย็น ๆ ราคาไม่แพงด้วย เราก็จัดกันไปเลยข้าวเหนียวหมูห่อใบตองคนละห่อ ห่อละ 20 บาท ข้าวเหนียวนุ่มและหอมใบตองมาก มองออกไปบริเวณข้าง ๆ เรือ อู้ หู้ววว ฝูงปลาเสือเต็มไปหมด เยอะมาก และมีน้องเหาฉลามว่ายโฉบไปมาด้วย น่ารักมาก ๆ เลย แค่นี้ก็คุ้มแล้วสำหรับคนไม่เคยเห็นฝูงปลาสวย ๆ เยอะ ๆ แบบนี้ (ภาพโดยนักเขียน) เรือออกแล้ว ... ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที เราก็มาถึงเกาะแสมสาร หาดที่เราลงมาก็คือ หาดเทียน นั่นเอง ลงจากเรือมาแล้ว ก็มีเจ้าหน้าที่เรียกให้เราไปฟังบรรยาย ความเป็นมา และกฎต่าง ๆ (ภาพโดยนักเขียน) เจ้าหน้าที่บรรยายเสร็จ เราแวะถ่ายรูปกันนิดหน่อย แล้วกลับไปขึ้นรถราง เพื่อข้ามไปหาดลูกลม หาดที่เราจะไปทำกิจกรรมกัน รถรางนี้ขึ้นฟรีนะคะ จะบริการระหว่างสองหาดก็คือ หาดเทียน และ หาดลูกลมนี่แหละค่ะ (ภาพโดยนักเขียน) มาถึงหาดลูกลมแล้วชอบมาก ๆ เลย บรรยากาศแบบนี้ วันที่เราไปคนไม่เยอะเลย ไม่ต้องแย่งชิงกับใคร สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อไปถึงคือ แลกคูปองค่ะ คูปองจะใช้สำหรับกิจกรรมทั้งหมดบนหาด และการซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สำหรับกิจกรรมที่นี่จะมี ดังนี้ ดำน้ำดูปะการัง คนละ 50 บาท นั่งเรือท้องกระจก คนละ 20 บาท พายเรือคายัค 100 บาท (ภาพโดยนักเขียน) หลังจากนั้นก็ไปลงชื่อกิจกรรมค่ะ ได้ยินว่าวันนี้น้ำค่อนข้างลง เรากลัวไม่ทันได้ลงน้ำดูปะการัง เลยไปลงชื่อตรงนี้ก่อน จ่ายคูปองไปคนละ 50 บาท ทิ้งบัตรประชาชนไว้ 1 คนต่อ 1 คณะ แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับลงน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเก็บกระเป๋าไว้ตรงล็อกเกอร์ แล้วมาแจ้งชื่อกับเจ้าหน้าที่ จะได้อุปกรณ์มา ทดลองอุปกรณ์ตรงหาดเสร็จเราก็เดินไปตรงโป๊ะ เพื่อนั่งเรือไปตรงจุดดำน้ำ นั่งสปีดโบ๊ทนะจ๊ะ ไปถึงปุ๊บ เช็คตัวเอง เช็คอุปกรณ์ตามคำแนะนำเจ้าหน้าที่เสร็จ ลงน้ำเลยจ้า ตุ้ม... ปะการังที่นี่ใหญ่และสวยงามมาก มีปลาการ์ตูน ที่คนรุ่นเดียวกับเราเรียกว่านีโม่ด้วย แต่น้ำค่อนข้างลงต้องทำตัวให้ขนานกับน้ำเข้าไว้ ไม่ใช่แค่ป้องกันปะการังนะ หอยเม่นจ้า หอยเม่นเต็มไปหมด น่ากลัวมาก ๆ ระวังเท้าให้ดีดี แค่นึกถึงยังสยอง สำรวจจนหนำใจแล้ว ก็กลับมาที่โป๊ะ ต้องเตือนทุกคนไว้ก่อนนะจ๊ะ อย่าสอดขาลงใต้โป๊ะ เพราะเราทำมาแล้ว ตอนแรกก็ไม่รู้สึกอะไร ขึ้นมานั่งแป๊บเดียว เลือดออกเต็มเข่าเลย ใช่ค่ะ เพรียงบาด กลับเข้ามาที่หาดก็เอาอุปกรณ์มาคืน รับบัตรประชาชนกลับไปด้วย อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จต้องล้างแผล เพื่อป้องกันบาดทะยัก ดีนะ โดนบาดนิดเดียว แง้... ทุกอย่างเรียบร้อย เตรียมไปกิจกรรมที่สอง นั่นก็คือ นั่งเรือท้องกระจกดูปะการัง ลงชื่อเสร็จ จ่ายคูปอง แล้วขึ้นเรือได้เลย (ภาพโดยนักเขียน) เรือก็จะพาเราไปตรงบริเวณใกล้ ๆ เกาะปลาหมึกที่เราพึ่งดำน้ำกันมา มีเจ้าหน้าที่บรรยายเล็กน้อย แบบนี้จะดีสำหรับคนสายตาไม่ปกตินิดนึง ตรงที่เห็นปะการังได้ชัดกว่าอยู่ในนี้ ใช่สิ ก็ตรงนี้สวมแว่นตาดูได้นี่นา ถึงจะได้ดูแค่ผ่านท้องเรือเป็นช่องเล็ก ๆ ก็เถอะ (ภาพโดยนักเขียน) กลับมาตรงหาดเสร็จ ใช่แล้วสิ่งที่เราเล็งกันไว้ตั้งแต่กลับจากดำน้ำก็คือ มาม่าคัพ ร้อน ๆ จัดไปจ้า คนละคัพ ระหว่างที่นั่งทานมาม่ากันอยู่ ตาก็เหลือบไปเห็นตรงหลักกิโล เอ๊ะ มีจุดชมวิวอยู่ใกล้ ๆ 150 เมตรเอง เดินอ้อมตรงโรงอาหารขึ้นไปตามถนน แล้วปีเขาอีกเล็กน้อยก็ถึงแล้วจุดชมวิว แต่ขอเตือนว่า อย่าขี้สงสัยมากเกินไปแบบเรา ที่เห็นทางเดินเลาะด้านข้างแล้วสงสัยว่าอาจจะมีทางไปต่อ เอาละจ้า เพื่อความมันส์ เราก็เดินไปทางนั้น เดินมานิดนึงก็เจอทางลง ชันมากจ้าแม่จ๋า แต่ด้วยความคิดที่ว่าเอาน่านี่มันทะเลนะ แค่ทางลงคงไม่โหดขนาดนั้นหรอก ที่ไหนได้ล่ะ นึกว่ากลับไปลงเขาช้างเผือกตรงสันคมมีดอีกรอบ และตอนนี้น้องแตะก็ไม่อำนวยด้วย แม่!!! (เสียงสูง) ลงมาเกือบสุดทางก็เจอป้ายน้อย ๆ หันหน้าออกไปทางทะเล คิดในใจ คงไม่ใช่ป้ายห้ามขึ้นหรอกมั้ง เดินลงมาแล้วหันมาดู ใช่ค่ะ ป้ายห้ามขึ้น แต่เราลง อื้อหืมม เอาให้สุดจ้า (ภาพโดยนักเขียน) จากนั้นเราก็กลับมานั่งชิว ๆ ผึ่งผ้าเปียกไปด้วย สูดอากาศบริสุทธิ์ (พยายามจะ) ให้เต็มปอด ก่อนจะนั่งรถรางกลับหาดเทียน ระหว่างทางกลับ เราเจอไก่ฟ้า พี่ทหารก็ใจดีจอดให้เราดูด้วย เมื่อถึงหาดเทียนเราก็พากันเดินไปทางหาดหน้าบ้าน ใช่ค่ะ เราไปไหว้ศาลอาม่า มาถึงเกาะทั้งทีไม่ไปไหว้ไม่ได้แล้ว (ว่าแต่ทำไมมีแค่เรา 2 คนไปไหว้กันนะ) เสี่ยงเซียมซีอะไรเสร็จ เราก็กลับไปนั่งชิงช้า เล่นห้อยเชือกเพื่อรอเรือกลับ เรากลับเรือรอบ 15.00 น.ค่ะ แต่เรือรอบสุดท้ายมีถึง 16.00 น. (ภาพโดยนักเขียน) ลงเรือและดื่มน้ำให้หายกระหายเสร็จ ด้วยจิตวิญญาณนักสังคมวิทยา หรืออะไรไม่รู้เข้าสิง เรามุ่งหน้าต่อไปที่พิพิธภัณฑ์ พี่ทหารโม้ไว้ว่าเขาเปิดแอร์ทั้ง 4 หลังเลย แต่ตอนเราไป คนคงไม่ค่อยเข้าพิพิธภัณฑ์กันเท่าไหร่ มีแค่เรา 2 คน แอร์ไม่เปิด ด้วยความที่เราร้อนมาก เลยตัดสินใจเยี่ยมชมแค่พิพิธภัณฑ์เดียวค่ะ งานจัดแสดงต่าง ๆ ทำออกมาได้ดีมาก ไม่แพ้พิพิธภัณฑ์ที่อื่นเลย (ภาพโดยนักเขียน) เอาล่ะ เราจะกลับที่พักในตัวเทศบาลสัตหีบกันแล้ว ตอนเราหาข้อมูลขากลับนี่หายากมาก ๆ บทความนี้เราจึงตั้งใจจะอธิบายให้ละเอียดหน่อย ออกจากพิพิธภัณฑ์ที่เราสำรวจมาเรียบร้อยแล้ว ให้เดินออกมาตรงซุ้มประตูทางเข้า ที่มีพี่ทหารอยู่ สำหรับที่นั่งรอ จะมีร้านขายของชำอยู่ด้านข้างเลย สามารถหาน้ำ ขนมทาน และขอนั่งรอตรงม้าหินอ่อนหน้าร้านได้ พี่ทหารบอกว่ารถจะมาทุกครึ่งชั่วโมง (แต่เรารอประมาณ 40 นาทีได้) เป็นรถสองแถวสีฟ้า เหมือนกับรถขามาเลย รถหมด 17.00 น. ต้องวางแผนให้ดี ถ้าจะกลับกรุงเทพ ฯ เลยก็ให้บอกคนขับว่า ลงท่ารถตู้ตรงโลตัส แต่เราและเพื่อนยังไม่กลับ ก็สามารถบอกคนขับรถได้ว่าจะลงที่ไหน พี่เขาไปส่งค่ะ 30 บาทตลอดสาย สรุปค่าใช้จ่าย 1 วัน (ไม่รวมอาหารเช้าและค่ารถไฟฟ้า) ค่ารถตู้ขาไป คนละ 155 บาท ค่ารถสองแถวไปเขาหมาจอ คนละ 30 บาทตลอดสาย ค่าข้ามเกาะ คนละ 300 บาท ข้าวเหนียวหมู คนละ 20 บาท แลกคูปองบนเกาะ คนละ 100 บาท น้ำดื่ม ขนม หลังจากกลับจากเกาะ คนละ 30 บาท ค่าสองแถวเข้าสัตหีบ คนละ 30 บาท รวมแล้ว ตกคนละ 665 บาท วันกลับ เราเสียค่ารถตู้จากท่าโลตัสสัตหีบ คนละ 150 บาท ลงเอกมัย เผื่อไว้วางงบประมาณสำหรับเที่ยวกันนะคะ